กรมทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดปฏิบัติการเชิงรุก ลุยปราบ “สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ทั่วประเทศ เผยผลงาน 11 เดือน กวาดล้าง 3.3 ล้านชิ้น มูลค่าความเสียหายทะลุ 1,140 ล้านบาท

กรมทรัพย์สินทางปัญญาระดมพลังหน่วยงานพันธมิตร เปิดเกมรุกปราบสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มข้นและมียุทธศาสตร์ โดยส่งทีมปฏิบัติการตรวจเข้มทั่วประเทศ ลุยกวาดล้างสินค้าละเมิดฯ ถึงแหล่งต้นตอ เผยสถิติปราบปราม 11 เดือนแรกปี 2568 สามารถจับกุมได้กว่า 1,132 คดี ยึดของกลาง 3.3 ล้านชิ้น ตีเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,140 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ายกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นการค้าไทย รวมทั้งปกป้องเจ้าของสิทธิและผู้ประกอบการที่ค้าขายโดยสุจริต

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าปูพรมปราบสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในท้องตลาดอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง โดยส่งชุดปฏิบัติการด้านการปราบปรามฯ ของกรม ลงพื้นที่ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ลุยตรวจจับสินค้าละเมิดฯ ในท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า และย่านการค้ายอดนิยมทั่วประเทศ มาอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งการปฏิบัติการออกเป็น 3 ชุดหลัก ได้แก่ (1) ชุดจรยุทธ์ เฝ้าระวังพื้นที่ศูนย์การค้าและย่านการค้าสำคัญในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น ศูนย์การค้าเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ แพลตินัม ประตูน้ำ สำเพ็ง สีลม พร้อมพงศ์ สุขุมวิท โดยลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน รวมทั้งกรณีได้รับแจ้งจาก บก.ปอศ. จะเข้าปฏิบัติการทันทีเมื่อมีหมายค้น (2) ชุดระดม กระจายกำลังตรวจตราพื้นที่สุ่มเสี่ยงในต่างจังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยออกปฏิบัติการต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์ ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 – 14 ธันวาคม 2568 ชุดระดม และ บก.ปอศ. ร่วมลงปฏิบัติการในพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา หนองคาย อุดรธานี และขอนแก่น นำหมายค้นเข้าตรวจค้นร้านค้า อาคารพาณิชย์ และบ้านเป้าหมายหลายจุด จับกุมผู้กระทำความผิด 5 ราย ตรวจยึดของกลางสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจำนวน 4,505 ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 4.6 ล้านบาท เป็นสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า เช่น อะไหล่รถจักรยานยนต์ เสื้อผ้า เคสโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น พร้อมนำส่งของกลางและผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และ (3) ชุดตรวจสอบและประเมินผล ตรวจสกัดการจำหน่ายสินค้าละเมิดฯ ในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ (พื้นที่สีแดง) ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) สงขลา กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ โดยลงพื้นที่ปฏิบัติการเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งผลการปราบปรามโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ สามารถขยายผลนำไปสู่การจับกุมและสกัดกั้นสินค้าละเมิดฯ จำนวนมาก โดยสถิติของการลงพื้นที่ปฏิบัติการในปี 2568 (มกราคม – พฤศจิกายน) หน่วยปฏิบัติการของกรมทั้ง 3 ชุด ได้ร่วมลงพื้นที่และสามารถจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้กว่า 298 คดี และยึดของกลางได้กว่า 1.5 ล้านชิ้น จากแหล่งเก็บสินค้า โกดัง แหล่งกระจายสินค้า รวมทั้งย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยสินค้าละเมิดฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าแบรนด์เนมปลอม จำพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แว่นตา และเครื่องประดับ ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน

นางอรมน สรุปสถิตการจับกุมปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม – พฤศจิกายน) ปี 2568 รวมทั้งสิ้น 1,132 คดี ยึดของกลาง 3,344,841 ชิ้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1,140 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 789 คดี ของกลาง 1,820,574 ชิ้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ 7 คดี ของกลาง 952,592 ชิ้น และกรมศุลกากร 336 คดี ของกลาง 571,675 ชิ้น ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถิติในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ที่มีการจับกุมสินค้าละเมิดฯ 1,350 คดี ยึดของกลาง 2,756,369 ชิ้น มูลค่าความเสียหาย 700 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าปี 2568 มีการจับกุมดำเนินคดีลดลงกว่า 16.15% แต่มีจำนวนของกลางเพิ่มมากขึ้น 21.35% และมูลค่าความเสียหายเพิ่มสูงกว่า 63.89% สะท้อนถึงความเข้มข้นและประสิทธิภาพของการปราบปรามเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการสกัดกั้นสินค้าละเมิดฯ ตั้งแต่แหล่งต้นน้ำ ซึ่งของกลางที่คดีถึงที่สุดแล้วทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างสิ้นซาก เพื่อปิดตายวงจรสินค้าละเมิดฯ ไม่ให้หมุนเวียนกลับสู่ท้องตลาดได้อีก

พร้อมกันนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกระดับการปราบปรามสินค้าละเมิดฯ ในตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง โดยนำมาตรการ Notice and Takedown มาใช้ภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ตระหว่างกรม เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งสามารถระงับการจำหน่ายสินค้าละเมิดฯ บนแพลตฟอร์ม e-Commerce ชั้นนำ 5 ราย ได้แก่ Lazada Shopee TikTok Shop NocNoc และ Nex Gen Commerce ได้กว่า 2,867 รายการ และเตรียมขยาย MOU ความร่วมมือดังกล่าวไปยังแพลตฟอร์ม Line Shopping โดยมีกำหนดลงนาม MOU ร่วมกับบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้ เพื่อเพิ่มเสริมกลไกการป้องกันและปราบปรามการละเมิดฯ ออนไลน์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญายืนยันหนักแน่นถึงแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองและปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์และส่งเสริมนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด ตลอดจนผลักดันการขับเคลื่อนแผนพัฒนา ด้านทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. 2569 – 2570 ตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติกำหนด เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐกว่า 30 หน่วยงาน เดินหน้าป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยมีมาตรการสำคัญ อาทิ
(1) ขยายผลการจับกุมและการปราบปรามผู้กระทำความผิดจากผู้ขายสินค้าละเมิดรายย่อยไปยังผู้ผลิตหรือขายสินค้ารายใหญ่ (แหล่งต้นน้ำ) อย่างเข้มงวด รวดเร็ว (2) ใช้กฎหมายอื่นประกอบเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เช่น กฎหมายฟอกเงิน กฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายภาษี (3) ขยายความร่วมมือ MOU การปราบปรามในตลาดออนไลน์ไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอื่นๆ (4) มาตรการให้เจ้าของพื้นที่ยกเลิกสัญญากับผู้เช่า กรณีผู้เช่าจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการประกอบธุรกิจและสินค้าที่ขาย มิเช่นนั้นจะใช้มาตรการทางแพ่งดำเนินคดีกับผู้ให้เช่าพื้นที่ขายสินค้าละเมิด โดยใช้หลักการความรับผิดชอบร่วม รวมทั้งเปลี่ยนบทบาทจากผู้เพิกเฉยเป็นผู้ร่วมแก้ปัญหา (5) การปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และรณรงค์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับอันตรายและความเสี่ยงจากการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ (6) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปราบปรามการละเมิดออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอพลิเคชันสำหรับการสตรีมมิ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลและทบทวนมาตรการด้านการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งยกระดับความรู้และทักษะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งกระบวนการสืบสวน จับกุม และสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งจะช่วยให้การคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเห็นผลอย่างชัดเจน

นางอรมน กล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเจ้าของสิทธิ และภาคประชาชน ร่วมกันส่งเสริมการเคารพสิทธิในผลงานสร้างสรรค์ของผู้อื่น รณรงค์ “ไม่ซื้อ ไม่ใช้ และไม่สนับสนุนสินค้าละเมิดฯ” ซึ่งแม้ลักษณะภายนอกจะใกล้เคียงกับสินค้าจริง แต่เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค จึงฝากเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังในการชื้อสินค้าราคาถูกมาใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยความปลอดภัยต่อชีวิตและร่างกาย และควรเลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เลือกดูบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่มีตำหนิ ราคาเหมาะสม ไม่ถูกกว่าท้องตลาดจนเกินไป ทั้งนี้ บทลงโทษของการจำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี หรือปรับสูงสุด 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สามารถแจ้งเบาะแสมายัง
กองป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญา โทร. 02-547-4702 สายด่วน 1368 หรือเว็บไซต์ www.ipthailand.go.th

 

อ่านเทรนด์สิทธิบัตร “เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว” ของไทยโตพุ่ง 145%

ชี้โอกาสดันไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมท่องเที่ยวของอาเซียน

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยบทวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ระหว่างปี 2549 – 2568 พบแนวโน้มปรับตัวสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีเต็มรูปแบบ สะท้อนโอกาสอย่างมหาศาลในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวภายในประเทศ ชี้นวัตกรรมท่องเที่ยวของไทยเติบโตสูงถึง 145% ต่อปี เป็นสัญญาณชัดเจนถึงศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เล่นแถวหน้าในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของไทย

ตลาดนวัตกรรมท่องเที่ยวกำลังอยู่ในระยะเติบโต และมีแนวโน้มที่จะโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งยังเปิดกว้างให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาร่วมในตลาดนี้ โดยมี จีน ครองอันดับ 1 ด้วยสิทธิบัตรกว่า 2,000 ฉบับ ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก ซึ่งมีสิทธิบัตรจำนวนมากและครอบคลุมเทคโนโลยีที่หลากหลาย แต่การเติบโตเริ่มชะลอตัว สะท้อนภาวะตลาดที่ค่อนข้างอิ่มตัว ขณะที่ประเทศที่น่าจับตามองและมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ อินเดีย มีการเติบโตแรงที่สุดในโลก กว่า 292% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากสตาร์ทอัพแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง และนโยบายความยั่งยืน รวมทั้งไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มาแรง แม้จะมีจำนวนสิทธิบัตรไม่มาก แต่มีการเติบโตสูงกว่า 145% ต่อปี โดยมีจุดแข็งอยู่ที่เทคโนโลยีการบริการและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่า แนวโน้มเทคโนโลยีกลุ่มย่อยมุ่งขับเคลื่อนไปใน 3 ทิศทางสำคัญ ได้แก่

1) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Virtual Reality in Tourism) ถูกใช้เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของแหล่งท่องเที่ยว ผ่านภาพ เสียง และบรรยากาศที่จำลองขึ้นก่อนนักท่องเที่ยวจะออกเดินทางจริง โดยเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เทคโนโลยี VR เคยพัฒนาจนถึงจุดชะลอตัวแต่ในช่วง 5 ปีหลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจากกระแส Metaverse Economy โดยผู้เล่นในสนามนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น LG Electronics (110 ฉบับ) บริษัทเกม LNw Gaming (138 ฉบับ) ไปจนถึงนักประดิษฐ์อิสระ รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 400 ฉบับต่อปี สะท้อนว่า VR ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่มีเจ้าตลาดที่ผูกขาดเบ็ดเสร็จ และยังมีโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพ

2) เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น ระบบโรงแรมอัจฉริยะ (Smart Hotels) ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเดินทางด้วยยานพาหนะประหยัดพลังงานหรือไฟฟ้า (Green Transport) แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การใช้ข้อมูลจัดการและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับอุตสาหกรรม (Data Systems) เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้ในวงกว้าง จากกระแสรักษ์โลกในช่วงหลายปีหลังทำให้มีผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าตลาดนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (445 ฉบับ) ในบทบาทของผู้พัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกที่เน้นงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ Digimarc Corp (361 ฉบับ) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจดจำข้อมูล และ American Vehicular Sciences LLC (250 ฉบับ) ผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เชื่อมโยงกับ Smart Transport & Carbon Tracking ในภาคการท่องเที่ยว โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 600 ฉบับต่อปี

3) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Artificial Intelligence in Tourism) AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวได้จริง โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อแนะนำแผนการเดินทาง ที่พัก กิจกรรมที่ตรงใจ และระบบนำเที่ยว พร้อมทั้งสนับสนุนการบริการผ่าน chatbot หรือผู้ช่วยเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในระยะเติบโตอย่างเต็มตัว จำนวนคำขอสิทธิบัตรจากไม่ถึง 1,000 ฉบับในปี 2559 พุ่งไปเกือบ 3,000 ฉบับในปี 2565 และผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรไม่ใช่เพียงแต่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีความหลากหลายจำนวนมาก ทั้งสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้ามาสู่ตลาดนี้ ส่งผลให้เทคโนโลยี AI ในการท่องเที่ยวกลายเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีพลวัตรสูงที่สุด และพร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำ ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (694 ฉบับ) และ Toyota Jidosha kk (504 ฉบับ) โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 2,700 ฉบับต่อปี

จากบทวิเคราะห์เทรนด์สิทธิบัตรด้านการท่องเที่ยว ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของ Smart Tourism ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะถูกขับเคลื่อนโดยประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย สำหรับโอกาสและทิศทางของไทย กรมฯ มองว่าโอกาสยังเปิดกว้างในตลาดนี้ โดยไทยควรเร่งสร้างสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft IBM Toyota ซึ่งมีสำนักงานในไทย ให้ร่วมทำ R&D และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ทั้งนี้ หากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสามารถเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้จุดแข็งของทรัพยากรท้องถิ่น วัฒนธรรม ชุมชน และ Soft Power เช่น อาหาร มวยไทย เป็นต้น มาผสานเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมยกระดับการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยที่ไม่ซ้ำใครและยากที่ประเทศอื่นจะลอกเลียนแบบได้ เปิดโอกาสให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมระดับโลกได้ในอนาคต

สำหรับสถิติคำขอสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทย ในช่วง 5 ปีล่าสุด (2563 – 2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 423 คำขอ (ต่างชาติ 386 คำขอ และไทย 37 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 63 คำขอ (ต่างชาติ 3 คำขอ และไทย 60 คำขอ) ด้านสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 14 ฉบับ (เป็นของต่างชาติทั้งหมด) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 32 ฉบับ (ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 30 ฉบับ) ผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท คูแปง คอร์ป (34 คำขอ) บริษัท ฮิตาชิ แอลทีดี (33 คำขอ) และบริษัทโตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (31 คำขอ) โดยนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ระบบจัดการการจองที่พักของโรงแรม ระบบชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ กระบวนการบริหารจัดการธุรกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของบล็อกเชน ระบบระบุตัวตนชื่อนามสกุลภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เป็นต้น