NCDs ทำลาย ศก.ปีละ 6 ล้านดอลลาร์ ทำคนไทยออกจากงานก่อนวัยอันควร 86% การสร้าง Ecosystem ในองค์กร ลดปัญหาได้จริง

NCDs ทำคนไทยเสียชีวิตปีละ 4 แสนราย ทำเศรษฐกิจสูญเสียมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี คิดเป็น 2.2% ของจีดีพี พบเป็นต้นทางให้คนวัยทำงานออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควรถึง 86% รองผู้จัดการกองทุน สสส. ชี้ แก้ได้ต้องสร้าง Ecosystem จัดการปัญหาทั้งระบบ ขณะที่ผู้ประกอบการ-ภาคเอกชน เผยตัวอย่างแนวทางแก้ NCDs ในองค์กร ช่วยพนักงานสุขภาพดี-ลดวันลาป่วย 10% ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพถึง 16% ด้านผู้ช่วยเลขาธิการ คสช. เสนอ “เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม-กลไกการคลัง-กลไกเครดิตทางสังคม” 3 หลักการสร้างสภาพแวดล้อม-สังคม ลดโรคเรื้อรัง

เวทีเสวนาหัวข้อ NCDs EC Policy Win/Win ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กับภาคธุรกิจเอกชนและวัยทำงาน เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ-แรงงาน-สุขภาพ-แรงจูงใจ-นวัตกรรมองค์กร ภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2567 ในประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ได้ฉายภาพการทำงานขององค์กรเอกชน เพื่อลดปัญหา NCDs และสร้างสุขภาพดีให้กับพนักงานผ่านการสร้างระบบนิเวศดีอย่างเป็นระบบ

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากกว่า 4 แสนรายต่อปี คิดเป็นร้อยละ 77 ของการเสียชีวิตทั้งหมด และทำให้เกิดความสูญเสียมูลทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี คิดเป็น 2.2% ของผลิตภัณฑ์มวลในประเทศ (จีดีพี) โดย 5 โรคสำคัญของ NCDs ได้แก่ เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และปัญหาสุขภาพจิต ล้วนแต่มีสาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรม 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มลพิษทางอากาศ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ การขาดกิจกรรมทางกาย และการดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ โรค NCDs ยังได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ โดยพบว่าคนวัยทำงานต้องออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร คิดเป็นความสูญเสียร้อยละ 86 ของการสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น การเสียชีวิต ร้อยละ 52 และการออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร ร้อยละ 34

ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ในปี 2568 พบว่า มีภาวะอ้วน 27 ล้านคน ทำกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 25 ล้านคน มีพฤติกรรมดื่มสุรา 17 ล้านคน และสูบบุหรี่จำนวน 11 ล้านคน เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยง หน่วยงานหรือองค์กรผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเชิงนโยบายจะต้องร่วมกันออกแบบระบบนิเวศ (Ecosystem) ในการจัดการปัญหาตั้งแต่ในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง

ดร.วิภาภรณ์ เกียรติอำนวย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอช.อุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า บริษัท เจ.เอช.อุตสาหกรรม ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา มีพนักงานอยู่ทั้งหมด 450 คน โดยบริษัทได้ขับเคลื่อนเรื่อง Healthy workplace (องค์กรสุขภาวะ) มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งจากการสำรวจสุขภาพพนักงานทุกปีพบว่าพนักงานส่วนใหญ่เป็นโรค NCDs เฉพาะเรื่องการมีน้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน 51% และโรค NCDs ด้านอื่นๆ รวมแล้วเกือบ 70% ทำให้ในปีนี้บริษัทมีโครงการที่ให้ความสำคัญ คือการนับคาร์บต้านโรค NCDs ซึ่งหลังจากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนวันการลาป่วยของพนักงานทั้งหมดลดลง 10.30% ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของพนักงานลดลง 16.41% สถิติการลดและเลิกสูบบุหรี่ 16.94% และสถิติการลด เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 11.80% ส่วนตัวมองว่าหากสถานประกอบการอยากจะผลักดันให้เกิดผลสำเร็จต้องไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้คือกิจกรรม แต่เป็นกิจวัตรประจำวันที่จะต้องสร้างให้เป็นวิถีและวัฒนธรรมขององค์กรให้ได้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าสุขภาพที่ดีของพนักงานคือรากฐานอันมั่นคงขององค์กร

สำหรับโครงการนับคาร์บต้านโรค NCDs เน้นการใช้หลักการแรงจูงใจให้พนักงานปรับพฤติกรรมและเลือกสิ่งที่ดีเพื่อตนเอง โดยจะคัดเลือกพนักงานที่มีความเสี่ยงเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 60 คน ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 7 เดือน ในเดือนที่ 1 เริ่มจากตรวจไขมันและมวลกล้ามเนื้อ ให้ข้อมูลความเสี่ยงสุขภาพ สอนการนับคาร์บและแจกสมุดบันทึกให้พนักงานบันทึกพฤติกรรมการกิน การนอน เดือนที่ 2 ทำสื่อรณรงค์ ออกนโยบายให้ร้านอาหารสวัสดิการและตู้อัตโนมัติต้องติดป้ายข้อมูลแสดงปริมาณคาร์บ น้ำตาล และโซเดียม และมีการจัดกิจกรรมแข่งขันลดน้ำหนัก สร้างวัฒนธรรมการกำลังกายครึ่งชั่วโมงก่อนเลิกงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เดือนที่ 3 เริ่มมีการจัดจำหน่ายอาหาร Low Carb และสร้างสวนผักผลไม้ปลอดสารพิษกว่า 60 ชนิดให้พนักงานสามารถปลูก เก็บ เด็ดและนำไปรับประทานได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

ในเดือนที่ 4 ได้มีการถอดบทเรียนครั้งที่ 1 เพื่อให้พนักงานได้วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง สิ่งที่อยากพัฒนาและสรุปผลถึงสิ่งที่ดำเนินการมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เดือนที่ 5 มีการตรวจวัด body composition และตรวจสุขภาพประจำปี  ทำให้พบข้อมูลจากการสรุปผลว่าผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 60 คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น 46 คน คิดเป็น 77% ของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด เดือน 6 จึงเข้าสู่ช่วงของการนำเสนอผลการดำเนินงานโดยให้ให้พนักงานในโครงการเป็นผู้นำเสนอด้วยตนเอง และมีการยกย่องบุคคลตัวอย่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานตั้งเป้าหมายตัวเองในปี 2569 ต่อไป

นางวรดา ชำนาญพืช รองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี ฝ่ายพัฒนาแรงงานและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ภาคเอกชนจะต้องบริหารจัดการคนด้วยความรับผิดชอบต่อชีวิตของคนในองค์กร ไม่เช่นนั้นในอนาคตก็จะเหลือเพียงเศษซากของอุตสาหกรรม กล่าวคือบุคลากรที่เต็มไปด้วยโรครุมเร้าอันเป็นผลมาจากการทำงาน หรือโรคที่มาจากพฤติกรรมเสี่ยงแต่องค์กรไม่ส่งสัญญาณเตือน ไม่เข้ามาบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน บริษัทจึงมีนโยบายการเงินครอบครัว เป้าหมายดูแลพนักงานทั้ง 4 มิติ เน้นคุณภาพชีวิตระยะยาวไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐ

นางวรดา กล่าวต่อไปว่า อยากให้กระทรวงแรงงานเข้ามาส่งเสริมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OSHMS) รวมไปถึงการตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ในสถานประกอบการ และมอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านความปลอดภัยและสุขภาวะ แทนการมอบรางวัลสถานประกอบการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้สถานประกอบการมีความชัดเจนในการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาวะ เรื่องคุณภาพชีวิตในระยะยาวมากกว่าการมองแค่สวัสดิการที่เน้นหนักไปที่เรื่องค่าตอบแทนเป็นหลัก

นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ควรมีโครงการประกันสังคมส่งเสริมสุขภาพแรงงาน มีการจัดตั้งกองทุนป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ สนับสนุนงบกิจกรรมสุขภาพในสถานประกอบการ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อตรวจสุขภาพ และให้คำปรึกษา มากไปกว่านั้น ภาครัฐควรออกนโยบาย มอบรางวัลสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือสนับสนุนงบประมาณให้แก่สถานประกอบการ

“ผู้ประกอบการเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย และต้องเสียเงินในการดูแลสุขภาพพนักงานผ่านประกันสังคม ประกันสุขภาพต่างๆ ทั้งให้คนในครอบครัว ทั้งแบบ OPD ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเขาจ่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีบริษัทไหนที่สามารถจ่ายหรือหันมาดูแลสุขภาวะให้พนักงานได้ และภาครัฐมี Incentive ให้เขานำไปลดหย่อนภาษีได้ ก็จะถือเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานการประกอบการมีแรงจูงใจที่จะดำเนินการมากขึ้น” นางวรดา กล่าว

นายสมเกียรติ พิทักษ์กมลพร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคใต้ (สช.ต.) กล่าวว่า กรอบการพัฒนา Ecosystem 3:5:5 เพื่อสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมสุขภาวะและสังคมเพื่อลดโรค NCDs มี 3 หลักการที่สำคัญ คือ 1. เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้บุคคลเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การมีสุขภาพดี 2. กลไกการคลังซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับประเทศ เช่น การเก็บภาษีความหวาน หรือในระดับหน่วยงาน องค์กร ท้องถิ่นที่อาจจะมีการให้เงินรางวัลหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ 3 .กลไกเครดิตทางสังคม ซึ่งทำได้ตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นในการออกมาตรการให้เกิดการออกกำลังกาย แล้วสามารถนำไปเป็นการเก็บแต้มคะแนนสะสมเพื่อนำไปแลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นต้น

“ธีมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ คือเศรษฐกิจยุคใหม่สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน ซึ่งในเวลานี้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการได้เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพแล้ว หลังจากนี้หน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ที่แม้อาจจะไม่ได้อยู่ในแวดวงสุขภาพโดยตรง ก็สามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันเรื่อง NCDs ให้สังคมไทย” นายสมเกียรติ กล่าว