รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยยังมีสถานการณ์น้ำท่วมจากพายุ “คัลแมกี” 8 จังหวัด รพ.สต.ได้รับผลกระทบเพิ่มอีก 22 แห่งใน “สุโขทัย-อยุธยา” บางแห่งท่วมสูงกว่า 2 เมตร สั่งเร่งฟื้นฟู เปิดบริการในจุดปลอดภัย พร้อมกำชับพื้นที่ภาคกลาง-ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่รับมวลน้ำ ให้เตรียมพร้อมล่วงหน้า ดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม จัดบริการสุขภาพเคลื่อนที่ ดูแลกลุ่มเปราะบาง ควบคุมโรค สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยจากผลกระทบของพายุ “คัลแมกี” ว่า ขณะนี้ยังมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 8 จังหวัด ได้แก่ ตาก สุโขทัย นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี รวม 47 อำเภอ 314 ตำบล 1,897 หมู่บ้าน มีผู้เสียชีวิตคงที่ 6 ราย ทั้งหมดจากการจมน้ำในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา 5 ราย และชัยนาท 1 ราย ด้านสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น 22 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งหมด โดยอยู่ใน จ.สุโขทัย 4 แห่ง และพระนครศรีอยุธยา 18 แห่ง ส่วนใหญ่น้ำท่วมบริเวณชั้นล่าง ระดับน้ำมีตั้งแต่ 5 เซนติเมตรจนถึงกว่า 2 เมตร โดยรพ.สต.วัดตะภู น้ำท่วมสูงกว่า 2.45 เมตร ภาพรวมมีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบสะสม 27 แห่ง ทั้งหมดยังเปิดให้บริการได้ รวมถึง รพ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ก็สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติเช่นกัน สำหรับการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดำเนินการเพิ่มขึ้น 9,868 ครั้ง สะสม 210,210 ครั้ง โดยเฉพาะบริการเยี่ยมบ้านและสุขภาพจิต มีการดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่รวม 1,962 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในชัยนาท สุโขทัย และอยุธยา รวมถึงให้การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์รวม 182,525 หน่วย เพิ่มขึ้น 20,837 หน่วย
“ภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน แต่มวลน้ำเริ่มลงมาบริเวณภาคกลาง จึงยังต้องเฝ้าระวังน้ำล้นและน้ำท่วมในลุ่มเจ้าพระยา รวมถึง 8 จังหวัดที่ยังมีน้ำท่วมจำนวนมาก คือ ตาก สุโขทัย นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี” นายพัฒนากล่าว
นายพัฒนากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้กำชับให้พื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะภาคกลางที่ต้องรับมวลน้ำ ดำเนินการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 5 เรื่องหลัก คือ 1.ดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม โดยจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในอำเภอที่น้ำยังขัง โดยเฉพาะสุโขทัย พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และอ่างทอง เยี่ยมบ้านกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ รวมถึงจัดบริการสุขภาพเคลื่อนที่ (Mobile Health Point) ในศูนย์พักพิง 2. ควบคุมโรคและสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยหลังน้ำเริ่มลดให้กำจัดลูกน้ำยุงลาย ฉีดพ่นกำจัดยุงลายตัวแก่ , ดูแลน้ำดื่มน้ำใช้ น้ำสะอาด ให้ครอบคลุม และประสานการกำจัดซากสัตว์ ขยะลอยน้ำ เพื่อป้องกันโรคฉี่หนูและโรคผิวหนัง 3.ฟื้นฟูสถานบริการสุขภาพ โดยเฉพาะรพ.สต. 22 แห่งที่ได้รับผลกระทบใหม่ ให้เปิดบริการในจุดปลอดภัย ตรวจคลังยาและเวชภัณฑ์สำรองให้เพียงพอ 7 วัน โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ ยากันยุง ยาน้ำกัดเท้า และเตรียมรถพยาบาล เรือท้องแบน เจ้าหน้าที่ EMS ในสุโขทัย พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉิน 4.ดูแลสุขภาพจิตและสื่อสารความเสี่ยง โดยส่งทีม MCATT เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต และสื่อสารเตือนภัยสุขภาพ เน้น “การล้างมือ รับประทานอาหารปรุงสุกสะอาด” และ 5.เตรียมพร้อมล่วงหน้า โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ทุกจังหวัดที่เตรียมรับน้ำเพิ่มเติมอยู่ในระดับตื่นตัว (Alert) และเปิดศูนย์หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น และเตรียมพร้อมทีมปฏิบัติการฉุกเฉินระดับเขตสุขภาพ 2–4 สนับสนุนข้ามจังหวัด หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น

