กระทรวงสาธารณสุข เปิด 2 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ยกระดับมาตรฐาน-นวัตกรรม ดึงดูดการลงทุน หวังพลิกโฉมอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก สู่ Medical & Wellness S-Curve ตั้งเป้ามูลค่าแตะ 1 หมื่นล้านใน 5 ปี สร้างรายได้มั่นคงให้เศรษฐกิจไทย

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกจัดประชุมระดมความคิดเห็นครั้งสำคัญภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย : ยาดมสมุนไพร” โดยมี ผศ.ดร.อัครนันท์ อริยศรีพงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานพร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เพื่อผลักดันยาดมไทยให้เป็นผลิตภัณฑ์ ภูมิปัญญาที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับโลก

ผศ.ดร.อัครนันท์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาด “ยาดม” ในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท โดยมียอดผลิตยาดมสมุนไพรไทยกว่า 1,333 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ภายใต้กรอบ “Medical and Wellness S-Curve” เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพรไทยให้เติบโตอย่างมีมาตรฐานและยั่งยืน ตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 1 หมื่นล้านบาท หลังการประชุมระดมความคิดเห็นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงมีแนวทางเร่งขับเคลื่อน 2 ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะใช้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก โดยเน้นย้ำว่าแผนงานจะครอบคลุมตั้งแต่การยกระดับคุณภาพ การสนับสนุนนวัตกรรม และการสร้างแต้มต่อทางการตลาด ดังนี้ (ร่าง) แผน “Medical and Wellness S-Curve” มุ่งยกระดับมาตรฐาน การผลิตและความปลอดภัยอย่างเข้มข้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล ,ตราคุณภาพสากล โดยเร่งจัดทำ “TPHS (Thai Premium Herbal Standard)”เพื่อเป็นตรารับรองผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบ Zero Contamination สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั่วโลก, อัดฉีดโรงงาน SME เตรียมให้การสนับสนุน Matching Fund 50% แก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อปรับปรุงโรงงาน ให้ได้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice), พัฒนานวัตกรรม สนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้าง Functional Product ใหม่ๆ เช่น ยาดมที่ช่วยในด้านการนอนหลับหรือการสร้างสมาธิ พร้อมสนับสนุนทุนการออกแบบและจดสิทธิบัตร บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ,ดึงดูดการลงทุน โดยจัดตั้ง “Thai Herb Wellness Fund” กองทุนร่วมลงทุนสำหรับ Startups ด้านนวัตกรรมสูง พร้อมเสนอสิทธิประโยชน์ BOI สูงสุด (A1/A2) สำหรับโครงการที่ลงทุนใน R&D และระบบ Automation คาดว่าจะชงแผนเสนอเข้าครม.ภายในปีนี้

ผศ.ดร.อัครนันท์ ยังกล่าวถึง แผน 2 โครงการ“ปัญญ์ – พัฒน์” อบรมเสริมความแกร่งให้ผู้ประกอบการเน้นการสร้างความสามารถในการแข่งขันและขยายช่องทางการตลาดของผู้ประกอบการ โดยสร้างสูตรใหม่สนับสนุน R&D เพื่อสร้างสรรค์สูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ และสนับสนุนการทดสอบความคงตัว (Stability Test),เสริมทัพกฎหมาย จัดอบรม “ครู ก.” ด้านกฎหมายสมุนไพรในทุกจังหวัด เพื่อให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ พร้อมลุยตลาดโลก พัฒนาหลักสูตร E-Commerce สู่สากล และสนับสนุนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรในต่างประเทศ ส่วนด้านแหล่งทุนจัดตั้ง โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และระบบพี่เลี้ยงทางการเงิน เพื่อช่วย SME เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่าจะเปิดหลักสูตร เดือน มกราคม ปีหน้า หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจสามารถติดตามข่าวรับสมัครได้ที่กองเศรษฐกิจสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
“การหารือร่วมกับเครือข่ายและผู้เกี่ยวข้องร่วมรับฟังวันนี้ กว่า 550 คน ทำให้แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรออกมาเป็นรูปธรรม กระทรวงสาธารณสุข จะใช้โอกาสนี้ผลักดันอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพรไทยให้เกิดความยั่งยืน เพื่อให้ยาดมสมุนไพรกลายเป็นผลิตภัณฑ์แห่งภูมิปัญญาไทย ที่สร้างชื่อเสียงและมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระดับโลก” ผศ.ดร.อัครนันท์ กล่าวทิ้งท้าย







