‘ตรีนุช’ เผย 5 นโยบายเร่งด่วน ถก กมธ.แรงงาน พาแรงงานไทยข้ามความผันผวน-สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.45 น.นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ทิศทางการเปลี่ยนแปลงกระทรวงแรงงาน ภายใต้การเปลี่ยนแปลง”ในงานสัมมนาเรื่อง “แรงงานไทย ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย โดยมี นายสมชาย มรกตศรีวรรณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมสัมมนา B1 – 1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ตนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มากล่าวปาฐกถาในวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันวางรากฐานแรงงานให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมแข่งขันในเวทีโลก ความท้าทายต่อแรงงานไทย ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่เต็มไปด้วยคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในชีวิตการทำงานของคนไทย ปัจจัยที่สำคัญ คือ1) ด้านโครงสร้างประชากร (Aging Society) ที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว เด็กเกิดน้อยลง ทำให้สัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงาน 2) ความท้าทายจากเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อความต้องการทักษะอย่างรุนแรง ส่งผลให้ความต้องการทักษะ 3) ด้านตลาดแรงงานและการขาดแคลนทักษะ แม้ว่าอัตราการว่างงานโดยรวมจะต่ำ แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรากำลังเผชิญคือ การขาดแคลนแรงงาน (Labour Shortage) ที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเติมเต็มแรงงานในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง 4) ความท้าทายด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายการค้าที่เข้มข้นของสหรัฐฯ ไทยได้รับผลกระทบภาษีส่งออกที่เก็บอัตราร้อยละ 19

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้กำหนดนโยบายในปี 2569 ทั้งหมด 5 ด้าน โดยพิจารณาจากความจำเป็นเร่งด่วน และผลกระทบสูงที่ทำได้ในระยะสั้น แต่เกิดผลในระยะยาว ดังนี้ 1) การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการสู้รบไทย-กัมพูชา เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ 2) การยกระดับและเพิ่มทักษะ (Up Skill / Re Skill) แรงงานไทยก้าวทันเทคโนโลยี 3) การส่งเสริมสวัสดิการแรงงานและความมั่นคงในชีวิต กระทรวงฯ มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและคุ้มครองคนทำงานทุกคน ทั้งการผลักดันกฎหมายที่ค้างท่อ และการส่งเสริมความปลอดภัยและการป้องกันปัญหาสังคม 4) การสร้างโอกาสให้แรงงานไทยมีงานทำในต่างประเทศ เป็นนโยบายสำคัญที่ช่วยยกระดับรายได้และความมั่นคงของครอบครัวแรงงาน และเป็นกลไกในการนำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 5) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงาน เพื่อเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อว่า แม้ว่ารัฐบาลจะมีอายุแค่ 4 เดือน แต่ตนคิดว่าสิ่งที่ดำเนินการในตอนนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่การทำงานในระยะยาว ซึ่งกระทรวงแรงงานมีการดำเนินการ แต่อาจจะต้องจัดเรียงเพื่อไปสู่การแก้ไขปัญหา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานที่เท่าเทียมและยั่งยืน มีดังนี้ 1) การกระตุ้นให้แรงงาน “พร้อมปรับตัว” ผ่านการให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับความจำเป็นในการพัฒนาทักษะ 2) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อการสร้าง “ทักษะที่ยืดหยุ่น” 3) การทำหลักสูตรให้ “ตอบโจทย์จริง” ซึ่งนโยบายของกระทรวงแรงงานมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรแบบ “Demand Driven” โดยมีการ บูรณาการความร่วมมือไม่ว่าจะเป็น ภาคเอกชนและภาคการศึกษา 4) กระทรวงแรงงานกำลังเร่งพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานระดับประเทศและสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคอุตสาหกรรม และเสริมสร้างศักยภาพให้แรงงานไทยทัดเทียมแรงงานต่างชาติ

“ดิฉันเชื่อมั่นว่า การดำเนินการตามแผนเร่งด่วนที่ทำได้ทันที และการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งกับไตรภาคี จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาแรงงานไทยก้าวข้ามความผันผวน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติได้” นางสาวตรีนุช กล่าว

ทั้งนี้ งานสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานไทยในปัจจุบันท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพัฒนาและคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ รวมถึงวิถีการผลิต ความสัมพันธ์ด้านการผลิต ความสัมพันธ์ด้านทรัพยากรการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงาน และการรวมกลุ่มของแรงงานทุกรูปแบบ ตลอดจนเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และภาควิชาการที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย สมาชิกรัฐสภาและผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน นักวิจัยและนักศึกษา สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป