กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพเชิงสร้างสรรค์ เชิญชวนผู้ประกอบการร้านนวด ร้านสปา และสถานประกอบการสุขภาพทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ พร้อมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศใช้ในปี 2568 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจนวดและสปา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจสุขภาพไทย จึงขอเชิญผู้ประกอบการทั่วประเทศเข้าร่วม เพื่อร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง
ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้กำหนดทิศทางการพัฒนานวดไทยให้ก้าวสู่ความเป็นสากล ผ่านการยกระดับมาตรฐานบริการ การพัฒนาทักษะบุคลากร และการสร้างภาพลักษณ์ “นวดไทย” ให้เป็น Soft Power ที่สะท้อนอัตลักษณ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์รัฐบาลในการผลักดัน ประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub ของภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯ ยังเตรียมผลักดันให้การนวดไทยเป็นบริการหลักในศูนย์สุขภาพ ครบวงจร (Wellness Center) ทั่วประเทศ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนและกระจายประโยชน์สู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
สำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ใบอนุญาตนวดเพื่อสุขภาพหรือสปาเพื่อสุขภาพ และผ่านการประเมินมาตรฐาน สถานประกอบการเวลเนส จากกรมการแพทย์แผนไทยฯ ซึ่งครอบคลุมด้านบุคลากรผู้ให้บริการ ความสะอาด ความปลอดภัย และคุณภาพการให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพ
ดร.ภญ.มณฑกา กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการคนละครึ่งพลัส ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการนวดและสปา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอัตลักษณ์ความเป็นไทย”
โครงการดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง เคียงคู่กับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาแผนไทย พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็น “ศูนย์กลางเวลเนสแห่งเอเชีย” อย่างยั่งยืน ในอนาคต

