สช. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่” เพื่อพัฒนาเป็นข้อเสนอเข้าสู่เวที “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18” เป็นมติที่เดินหน้าสร้างกลไกการพัฒนาประเทศโดยการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ทุกภาคส่วน ปูพื้นสู่ “ทศวรรษหุ้นส่วนของการพัฒนา” ให้ภาคประชาสังคม-ชุมชน มีบทบาทเสนอแผน-ดึงงบประมาณ สู่การแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตได้ พร้อมเป็นกลไกสำคัญขยับขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ในระยะ 5 ปีที่เหลือ

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ประเด็น “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่” เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในงาน สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคมทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 400 คน ทั้งในสถานที่ประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น และทางออนไลน์
สำหรับประเด็นดังกล่าว มีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันการจัดตั้ง “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่แบบมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน” เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการขับเคลื่อนการพัฒนาของพื้นที่ โดยยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมให้คุณค่ากับองค์ความรู้และข้อมูลจากพลเมือง ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศเชิงนโยบาย กฎหมาย และงบประมาณที่เอื้ออํานวย เพื่อให้กลไกดังกล่าวสามารถดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และนําไปสู่การสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน

ผศ. ชล บุนนาค เลขานุการคณะทำงานพัฒนาประเด็นกลไกพัฒนาที่ยั่งยืน เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้เดินทางมาถึงปีที่ 10 โดยเหลือเวลาอีก 5 ปีของการดำเนินการตามเป้าหมาย ในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งจากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ประเมินว่ามีเป้าหมายย่อยเพียง 17% เท่านั้นที่จะบรรลุได้ทันในปี ค.ศ. 2030 ขณะที่เป้าหมายอีกมากกว่า 50% อยู่ในสถานะมีการพัฒนาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความเปลี่ยนแปลง และถดถอยลงกว่าสถานะในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเร่งรัดการดำเนินการของทุกประเทศในช่วงเวลาที่เหลือนี้
ผศ. ชล กล่าวว่า กลไกหนึ่งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ คือการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ หรือ SDGs Localization ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาคส่วนต่างๆ ของไทย ไม่ว่ากระทรวงมหาดไทย สภาพัฒน์ ฯลฯ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนอย่างถูกทิศทาง แต่ก็ยังพบว่ามีความท้าทายในการขับเคลื่อนระดับพื้นที่ ใน 5 ประเด็น
ประกอบด้วย 1. ขาดกลไกและพื้นที่กลาง ที่เกิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดทิศทาง 2. แผนพัฒนาที่ริเริ่มจากชุมชน ยังไม่ถูกยอมรับเท่ากับแผนภาครัฐ ทำให้ชุมชนถูกลดทอนบทบาท 3. กฎหมายและนโยบายบางฉบับ ยังจำกัดสิทธิชุมชนและสร้างความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน 4. การสื่อสารเป้าหมาย SDGs ยังเป็นภาษาราชการและเชิงเทคนิค ทำให้ประชาชนไม่รู้สึกมีส่วนร่วม 5. การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรขาดความยืดหยุ่น ไม่เอื้อต่อการทำงานแบบบูรณาการข้ามภาคส่วน และชุมชนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้
“มติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้ จึงมีเป้าหมายสำคัญที่จะออกแบบกลไกร่วม เพื่อทลายข้อจำกัดการบริหารจัดการของภาครัฐ และให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ โดยมีแนวทาง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับจังหวัด อย่างน้อย 77 จังหวัดโดยใช้กลไกเดิมเป็นฐาน มีศูนย์ข้อมูลกลางหรือ SDG Data Center ทุกจังหวัด พร้อมส่งเสริมข้อมูลภาคพลเมือง มีฐานข้อมูลภูมิปัญญาเพื่อความยั่งยืน สร้างต้นแบบชุมชนอย่างน้อยจังหวัดละ 1 พื้นที่” ผศ. ชล กล่าว

ศ. บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นกลไกพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า กลไกการขับเคลื่อนตามมติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้ มุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานตามเป้าหมายที่ 17 หรือ Partnership for the Goals ซึ่งถือเป็นจุดคานงัดสำคัญที่จะช่วยขยับให้เป้าหมายอื่นๆ สามารถเดินหน้าได้ โดยเฉพาะปัญหาใหญ่อย่างการรวมศูนย์อำนาจที่ทำให้กลไกองคาพยพอื่นๆ ขยับได้ยาก มตินี้จึงพุ่งเป้าให้เกิดกลไกในระดับจังหวัด ซึ่งจะไม่เพียงขับเคลื่อน SDGs ใน 5 ปีที่เหลือ แต่จะดำเนินการสู่การพัฒนาต่อหลังจากนี้ในอนาคต
ศ. บรรเจิด กล่าวว่า หลายคนอาจมองว่ากลไกการทำงานของประเทศไทย เต็มไปด้วยคณะกรรมการในระดับต่างๆ มากมาย แต่สงสัยเหตุใดการพัฒนาจึงยังไม่ขยับตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าคณะกรรมการที่มีอยู่นั้นล้วนเป็นกลไกในเชิงบังคับบัญชา อยู่ภายใต้กรอบการรวมศูนย์อำนาจ ดังนั้นเมื่อมติสมัชชาสุขภาพฯ นี้ผ่านการรับรองจากทุกภาคส่วน เราจะขับเคลื่อนเข้าสู่ทศวรรษหุ้นส่วนของการพัฒนา เป็นการสร้างระบบนิเวศการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ นี่จึงเป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญ
สำหรับรูปธรรมที่จะเกิดขึ้น อาทิ งบประมาณที่ถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาจังหวัด ทั่วประเทศกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ที่ถูกใช้ไปกับโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง ฯลฯ หลังจากนี้เราจะทำให้เกิดแผนการพัฒนาที่ขึ้นมาจากฐานความต้องการระดับพื้นที่และการจัดสรรงบประมาณ โดยอาจกำหนดไว้ เช่น ให้นำงบประมาณ 30% ไปใช้ในเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิต นี่ก็จะเป็นคานงัดที่ช่วยให้เป้าหมายอื่นๆ ตาม SDGs ขยับไปได้

ขณะที่ สพ.ญ.ดร.อังคณา เลขะกุล คณะอนุกรรมการกำกับ สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพ กล่าวว่า การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ ช่วยให้คณะทำงานได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากทุกภาคส่วนเพื่อนำไปปรับปรุงข้อเสนอเชิงนโยบายในประเด็นนี้ ซึ่งตอกย้ำถึงจิตวิญญาณของกระบวนการสมัชชาสุขภาพ ที่มุ่งเน้นกลไกการมีส่วนร่วมข้ามภาคส่วนด้วยหลักการ 4PW หรือ Participatory Public Policy Process based on Wisdom โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Wisdom หรือปัญญา ที่ไม่ใช่แค่การใช้องค์ความรู้ทางวิชาการเข้ามาพูดคุยเท่านั้น แต่ยังได้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ ไปจนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จะเป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อน SDGs นับจากนี้

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า นอกจากข้อเสนอเชิงนโยบายประเด็นนี้แล้ว ในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ยังมีอีก 4 ประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจ ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) ระบบสุขภาพกับภูมิรัฐศาสตร์ การขับเคลื่อนพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการจัดการสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งทั้งหมดล้วนมีผลกระทบและสอดรับกับสถานการณ์ปัญหาสุขภาวะในยุคปัจจุบัน จึงอยากเชิญชวนให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เข้าร่วมเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อแสวงหาฉันทมติในข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ และมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นต่างๆ ร่วมกันต่อไป





