“พัฒนา” ประชุม คกก.สุขภาพดิจิทัล เห็นชอบ 4 เรื่องหลัก ขับเคลื่อน “หมอพร้อม SuperApp” จ่อเชื่อมข้อมูล รพ.สธ. – กทม. รองรับรักษาทุกที่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุม คกก.เฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล เห็นชอบ 4 ประเด็นหลัก ช่วยขับเคลื่อน “หมอพร้อม SuperApp” รองรับ 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ทั้งเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพของสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและ กทม. เชื่อมโยงข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปีและฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของผู้ประกันตน กับกระทรวงแรงงาน และกรอบจัดทำร่าง พ.ร.บ.สุขภาพดิจิทัลฉบับใหม่

วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิร่วมประชุมทั้งระบบออนไซต์และออนไลน์ โดยนายพัฒนา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งยกระดับคุณภาพและมาตรฐานระบบสุขภาพของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการ และช่วยลดภาระงานของบุคลากร โดยมีนโยบายเร่งรัดคือ “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ที่สอดรับกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยพัฒนา “หมอพร้อม SuperApp” ให้เป็นเครื่องมือหลักด้านสุขภาพและสาธารณสุข เพิ่มความสะดวกและบริการใหม่ เช่น การนัดหมายออนไลน์, การลงทะเบียน healthID ทารกแรกเกิด, การติดตามผู้ป่วยมารับสิทธิการตรวจคัดกรอง, AI Chatbot, AI CXR และจะพัฒนาต่อยอดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนแผ่นดินไทย ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสุขภาพและการเข้ารับบริการด้านสุขภาพ

นายพัฒนากล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ จึงมีมติเห็นชอบใน 4 ประเด็นสำคัญ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เห็นผลที่ชัดเจนและเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานยิ่งขึ้น ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงข้อมูลของระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ 2) การเชื่อมโยงข้อมูลบริการด้านสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกรุงเทพมหานคร โดยเชื่อมข้อมูลสุขภาพของหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในต่างจังหวัด และหน่วยงานสังกัดอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีข้อมูลจาก 2 ระบบ คือโครงการ Health Link ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ฯ (BDI) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ปัจจุบันเชื่อมข้อมูลสุขภาพของหน่วยงานนิติบุคคลต่างๆ นอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้วกว่า 8,700 แห่ง กับโครงการหมอพร้อมและโครงการคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข ที่ใช้วิธีการรวมศูนย์ข้อมูลและสร้างฐานข้อมูลเขตสุขภาพ ซึ่งอยู่ภายใต้นิติบุคคลเดียวกัน (Centralization) ปัจจุบันเชื่อมข้อมูลแล้วกว่า 6,600 แห่ง โดยเดือนพฤศจิกายนนี้ จะจัดพิธีลงนาม MOU ระดับชาติกว่า 13 หน่วยงานหลัก เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และจะเสนอ ครม.สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพกับแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศสุขภาพระดับประเทศ

“ทั้งสองระบบนี้จะเชื่อมกันด้วยมาตรฐานข้อมูลและเทคนิคที่มีความปลอดภัยทางไซเบอร์ มีระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูล 2 ชั้น ทำให้ประชาชนสามารถรับการรักษาได้ทุกที่ ลดภาระการพกพา หรือกลับไปขอเอกสารจากโรงพยาบาลต่างๆ ติดตามข้อมูลสุขภาพของตนเองผ่านแอปพลิเคชัน personal health record พร้อมคำแนะนำเฉพาะตัวในการดูแลสุขภาพ ขณะที่แพทย์และบุคลากรมีข้อมูลประกอบการวินิจฉัย ลดการสั่งตรวจซ้ำ ลดความผิดพลาดจากการสั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ เพิ่มคุณภาพการรักษา และระบบสุขภาพโดยรวมเกิดการบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนพัฒนาสุขภาพในระดับประเทศได้” นายพัฒนากล่าว

นายพัฒนากล่าวว่า 3) การเชื่อมโยงข้อมูลบริการด้านสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงแรงงาน ซึ่งปัจจุบันมีความร่วมมือเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการตามมาตรา 40 เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการ ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองแพทย์ดิจิทัลบน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข กับระบบเบิกจ่ายประโยชน์ทดแทนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Self Service) สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ส่วนระยะถัดไปจะเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปีและการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของผู้ประกันตน รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกันตนสามารถนัดหมายออนไลน์เพื่อรับบริการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม และ LINE OA หมอพร้อม โดยกำหนดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลบริการด้านสาธารณสุขบน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข และข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคล (Data Sharing Agreement : DSA) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับกระทรวงแรงงาน วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 และ 4) กรอบการจัดทำ พ.ร.บ.สุขภาพดิจิทัล เนื่องจากระบบสุขภาพไทยยังขาดกฎหมายกลางที่กำกับดูแลและเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างบูรณาการ กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ เช่น AI Telemedicine เป็นต้น