ท่ามกลางความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหา “ขยะอาหาร” (Food Waste) ภัยคุกคามอันดับต้นๆ ของโลก และประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากข้อมูลล่าสุดในปี 2567 ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นสูงถึง 27 ล้านตันต่อปี และในกองขยะมหึมานั้น กว่า 10 ล้านตันคือ “ขยะอาหาร” ที่ถูกนำไปกำจัด การเน่าเปื่อยของขยะอินทรีย์เหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งกำเนิดหลักของ ก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการก่อภาวะโลกร้อนรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า การแก้ไขปัญหาขยะอาหารจึงไม่ใช่แค่เรื่องความสะอาด แต่เป็น “วาระแห่งชาติ” ในการบรรเทาวิกฤตโลกร้อนที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อสนองตอบต่อเป้าหมายของรัฐบาลที่มุ่งลดขยะอาหารให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2573 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ผลักดันนโยบาย Zero Waste อย่างเป็นรูปธรรม

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้ขานรับนโยบายดังกล่าวอย่างแข็งขัน ด้วยการยกระดับการจัดการขยะที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 สู่การเป็น “Zero Food Waste” หรือการลดขยะอาหารเป็นศูนย์ โดยตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ขยะอาหารทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติจะต้องไม่ถูกนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย แต่จะต้องถูกนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เพื่อกำจัดแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นอันตรายถึงที่สุด

การขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Zero Food Waste ถูกกำหนดผ่าน 3 มาตรการหลักที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
• มาตรการ “ไม่ให้เกิด” (Reduce): มุ่งลดขยะตั้งแต่ต้นทางผ่านการรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้น รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการห้ามใช้โฟมและพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และมาตรการขยะคืนถิ่น
• มาตรการ “ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า” (Reuse & Recycle): พัฒนาระบบคัดแยกขยะอาหารและนำกลับไปใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมที่สุด เช่น การแปรรูปเป็นปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์ และการเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย (BSF)
• มาตรการ “ร่วมรับผิดชอบ” (Responsibility): สร้างความร่วมมือกับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการผ่านการให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และการติดตามผล เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเป็นเจ้าของร่วมในพื้นที่
ทั้งนี้ ได้ดำเนินการในอุทยานแห่งชาติไปแล้ว 118 แห่ง และจะดำเนินให้ครบทุกอุทยานและสถานที่ท่องเที่ยวในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ ตามเวลาที่กำหนด โดยมีอุทยานที่เริ่มดำเนินการแล้วทุกภูมิภาค อาทิเช่น ภาคเหนือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ภาคกลาง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย จังหวัดสระบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ภาคใต้อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคตะวันออก อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี และภาคตะวันตก อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อทดลองใช้แนวคิดมาตรการ 3R (Reuse, Reuse & Recycle, Responsibility) ผลจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยสามารถจัดการขยะมูลฝอยจากจำนวนนักท่องเที่ยว 18.5 ล้านคน ได้จำนวนกว่า 2,922.43 ตัน และที่น่าจับตาคือ อัตราการเกิดขยะเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 0.16 กิโลกรัม/คน/วัน โดยอุทยานฯ สามารถจัดการขยะได้เองในพื้นที่สูงถึง ร้อยละ 60 สะท้อนถึงการลดการพึ่งพาระบบกำจัดภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า จากนโยบายดังกล่าวได้สั่งการให้ทุกอุทยานมุ่งลดขยะอาหารเป็นศูนย์ โดยมีการจัดทำแผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วน 4 เดือน (Quick Win) เพื่อกำหนดมาตรการและสร้างต้นแบบ สู่การรวบรวม Best Practice และติดตามประเมินผล ขณะเดียวกันได้จัดทำแผนระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2573) สู่เป้าหมายอุทยานแห่งชาติ 100% Zero Food Waste เพื่อขยายผลการดำเนินงานไปสู่พื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ท้าทายว่า ภายในปี 2573 อุทยานแห่งชาติ 156 แห่ง จะต้องเข้าร่วมเพื่อดำเนินการจัดการขยะอาหาร และสามารถลดปริมาณขยะอาหารให้ได้ร้อยละ 50 โดยขอให้นักท่องเที่ยวทุกคนร่วมมือกับมาตรการลดและกำจัดขยะที่ถูกต้องโดยเฉพาะขยะอาหารกับกรมอุทยานแห่งชาติฯด้วย
โครงการ “Zero Food Waste” ในอุทยานแห่งชาติจึงไม่ใช่แค่ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมภายใน แต่คือการทำหน้าที่สำคัญของประเทศไทยในการเป็นแนวหน้าต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน ด้วยการปิดแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่อันตรายที่สุด เพื่อธำรงรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้ลูกหลานต่อไป











