“รมว.พัฒนา” หารือเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนนำการแพทย์สร้างรายได้ให้ประเทศ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยเพื่อประโยชน์ด้านการวิจัย ควบคุมโรค

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน ในการนำการแพทย์และสาธารณสุขช่วยสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบเอเชียใต้ และร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อจำกัดเพื่อให้การแพทย์ของประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมขอความร่วมมือในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ป่วย เพื่อใช้ประโยชน์ด้านการวิจัย วิเคราะห์แนวโน้มการระบาดของโรค และควบคุมโรคของประเทศ

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมหารือกับ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และผู้แทนจากเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน ในการผลักดันให้การแพทย์และสาธารณสุขเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

นายพัฒนากล่าวว่า การแพทย์ของประเทศไทยมีความเข้มแข็ง ทั้งด้านบุคลากรการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสูง และมีระบบบริการที่ดี จึงมีแนวคิดที่จะเร่งรัดและผลักดันให้นำการแพทย์และสาธารณสุขมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น โดยเชิญชวนให้ภาคเอกชนสร้างโอกาสทางธุรกิจจากตลาดต่างประเทศ จัดกิจกรรม Road Show โดยเฉพาะในแถบเอเชียใต้ เช่น ศรีลังกา ปากีสถาน บังกลาเทศ มัลดีฟส์ ที่ประชากรส่วนหนึ่งมีรายได้สูง ใช้ระยะเวลาในการเดินทางมาไทยไม่นาน และมีความสัมพันธ์อันดีกับไทย โดยวางเป้าหมายที่ตลาดแพทย์แผนไทยและยา ซึ่งเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนได้ให้ความสนใจและบางแห่งเปิดตลาดต่างประเทศแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้อจำกัดบางประการที่เคยเกิดขึ้น เช่น ระยะเวลาในการขอวีซ่า การตรวจสอบผู้ป่วย เป็นต้น

นายพัฒนากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ป่วย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการวิจัย วิเคราะห์แนวโน้มการระบาดของโรค และควบคุมโรคของประเทศ โดยได้ให้ความมั่นใจและความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยระดับธนาคาร ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลของประชากรและข้อมูลการรักษาเป็นของตัวเอง มีอำนาจต่อรองกับต่างประเทศ และเลือกใช้เทคโนโลยีที่ต่างประเทศมีได้อย่างเท่าเทียม รวมทั้งได้ขอความร่วมมือในการออก Health ID ให้กับเด็กทารกแรกเกิด เช่นเดียวกับที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการ เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลของประชากรได้อย่างครบถ้วนแม่นยำ และให้เด็กไทยที่เกิดใหม่มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับบริการสุขภาพที่ถูกต้องตามเกณฑ์ เช่น การฉีดวัคซีน เป็นต้น