9 หน่วยงาน “ภาคีอาสา” ปักหมุดทิศทาง สนับสนุนสร้างจังหวัดเข้มแข็ง วางแผนทำงานร่วมกับพื้นที่ 5 จังหวัดนำร่อง

“ศ. ดร.บรรเจิด” เปิดโรดแมปจังหวะก้าวสร้างความเข้มแข็งภาคประชาสังคม เดินหน้าผลักดันข้อเสนอสู่ฝ่ายการเมือง จ่อใช้ระเบียบสำนักนายกฯ หนุนยกร่างประกาศรองรับการทำงานภาคประชาชน กรุยทางสู่การจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานภาคประชาสังคมระดับจังหวัด” เป็นกลไกใหม่ของประเทศ เล็งยกเครื่อง ก.บ.จ. ชง 30% งบพัฒนาจังหวัดใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต “หมอสุเทพ” ชี้ ไทยมีศักยภาพแต่ขาดการบูรณาการทำงานร่วม มั่นใจ “ภาคีอาสา” ช่วยพิชิตภารกิจท้าทายนี้ได้

องค์กรภาคียุทธศาสตร์ 9 หน่วยงาน ที่รวมตัวกันในนาม “ภาคีอาสา” ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดเวทีสัมมนาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของหน่วยงานภาคีอาสา เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนจังหวัดเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ระหว่างวันที่ 15-16 ต.ค. 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยความคืบหน้าในการขับเคลื่อนภาคีอาสาว่า การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคมในการพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานราก ภายใต้ภารกิจภาคีอาสา จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ ประกอบด้วย 1. การพัฒนาตัวตนและสร้างระเบียบรองรับ ซึ่งมีด้วยกัน 4 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างตัวตนของภาคประชาสังคมในแต่ละจังหวัด (ภาคีอาสาทั้งใน 5 จังหวัดนำร่อง) การออกประกาศรองรับ การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) และการเตรียมมาตรการทางการเงิน 2. การพัฒนากฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนการพัฒนาของภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดการจัดทำประกาศรองรับการทำงานของคณะกรรมการจากภาคประชาชน โดยอาศัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. 2558 จากนั้นจะมีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการประสานงานภาคประชาสังคมระดับจังหวัด” ซึ่งถือเป็นกลไกภาคประชาสังคมที่มีกฎหมายรองรับ ทำหน้าที่เข้าไปทำงานเชื่อมร้อยกับกลไกอื่นๆ ในพื้นที่ อาทิ คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) องค์กรตระกูล ส. ตลอดจนสภาองค์กรชุมชน ฯลฯ และจะนำไปสู่การสร้าง ecosystem ต่อไป

“ตัวอย่างคือเดิมกลไก ก.บ.จ. จะมีผู้ว่าฯ นั่งหัวโต๊ะบังคับบัญชา เราก็จะเข้าไปเสนอเพื่อให้เกิดการทำงานแบบ ecosystem เช่น ต้องปรับปรุงองค์ประกอบของภาคประชาสังคมใหม่ให้เข้ามาผ่านการเลือกตัวแทน ไม่ใช่เลือกโดยผู้ว่าฯ ต้องให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการทำแผนพัฒนาจังหวัดจริงๆ และต้องกำหนดให้มีสัดส่วนการใช้งบพัฒนาจังหวัดอย่างน้อย 30% เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต มากกว่าการใช้งบเพื่อก่อสร้างแบบที่ผ่านๆ มา” ศ. ดร.บรรเจิด กล่าว

พร้อมกันนี้ จะมีการขับเคลื่อนในประเด็นอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคมในการพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานราก อาทิ ผลักดันให้สภาองค์กรชุมชนได้รับการสนับสนุนทางการเงิน จาก อปท. ราวปีละ 3 หมื่นบาท รวมทั้งผลักดันพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรสำหรับเงินอุดหนุนจากหน่วยงานของรัฐให้กับภาคประชาสังคม

“นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ข้อหนึ่งว่า ในการปรับปรุงการบริหารงานภาครัฐจะเปิดโอกาสให้มีการบริหารงานโดยให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมในการบริหารด้วย นี่จึงเป็นโอกาสที่ภาคประชาสังคมจะได้พูดคุยและนำเสนอต่อรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการหารือฝ่ายการเมืองไปแล้วบางส่วนแล้ว” ศ. ดร.บรรเจิด กล่าว

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (เลขาธิการ คสช.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ดี แต่มีข้อจำกัดคือการขับเคลื่อนประเทศที่แบบต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งในเชิงหลักการแล้ว ทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยกับการบูรณาการการทำงานร่วมกัน แต่ในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัตินั้นไม่ง่าย ฉะนั้น การรวมตัวกันภายใต้ทีมภาคีอาสาจึงมีความสำคัญมากที่ขับเคลื่อนภาจกิจที่ท้าทายเหล่านี้ให้เกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ภายในงานสัมมนาฯ ดังกล่าว ยังมีการจัดเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานของหน่วยงานภาคีอาสา ประกอบด้วย 1. กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาภาคประชาชน โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. 2. การจัดทำธรรมนูญชุมชนและสมัชชาสุขภาพ โดย สช. 3. การใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 4. กองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล/จังหวัด โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 5. การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยนิด้า 6. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)

นายธีระพันธ์ ลิมป์พูน ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน สปสช. กล่าวว่า สปสช. มีเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานเชิงพื้นที่เข้มแข็ง คือกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ซึ่งเป็นการสมทบงบประมาณระหว่าง สปสช. กับ อปท. เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิ ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต โดยปัจจุบันในระดับตำบลมีการกระจายงบประมาณครอบคลุมถึง 99% แล้ว ฉะนั้น 5 จังหวัดนำร่องในโครงการภาคีอาสา สามารถเข้าไปติดต่อขอรับการสนับสนุนได้

ผศ. ดร.ธงศักดิ์ชัย สายพระราษฎร์ รองเลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า ภาพรวมในระดับประเทศพบว่าประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราการเสียชีวิตเพราะไม่สามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่วนภาคใต้สูงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ที่น่ากังวลที่สุดคือภาคกลาง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 3 เท่าของค่าเฉลี่ยประเทศ โดยเครื่องมือที่ สพฉ. มีคือระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่เชื่อมโยมตั้งแต่ส่วนกลางที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปจนถึงระดับตำบล หมู่บ้าน และในรอบปีที่ผ่านมา เลขหมาย 1669 คือเบอร์โทรศัพท์ที่มีประชาชนโทรมามากที่สุดในประเทศถึง 12 ล้านสาย