15 ตุลาคม 2568 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนา “Thailand’s Future Opportunities for Spaceport Development” เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และระดมข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนเกี่ยวกับอนาคตของ “ท่าอวกาศยาน (Spaceport)” ของไทย โดยเน้นย้ำถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับสู่เวทีอวกาศโลกอย่างเต็มภาคภูมิ ณ ห้องประชุม MR3-5 ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน GISTDA อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง Spaceport ในประเทศไทย ร่วมกับบริษัท เคพีเอ็มจี ภูมไชย ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด โดยการศึกษาครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ธุรกิจ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการสำรวจพื้นที่ศักยภาพทั่วประเทศ เพื่อประเมินจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาในอนาคต โดยการศึกษาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อวางรากฐานสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศของประเทศในระยะยาวและสอดคล้องกับแนวนโยบายของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งให้การลงทุนในภาคอวกาศเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ปัจจุบัน “เศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy)” กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก ทั้งในด้านเทคโนโลยีการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก การสื่อสารผ่านดาวเทียม การสำรวจโลก และการใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนา Spaceport ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ไทยมีบทบาทเชิงรุกในเศรษฐกิจอวกาศ จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในหลายมิติ ทั้งภาคการขนส่งอวกาศ การผลิตอุปกรณ์อวกาศ การให้บริการด้านการท่องเที่ยวเชิงอวกาศ ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น พลังงานสะอาด การสื่อสาร และปัญญาประดิษฐ์
ในเวทีสัมมนาครั้งนี้ มีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอวกาศเข้าร่วมเพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการ Spaceport ของประเทศไทยซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงการมีโครงสร้างพื้นฐาน แต่คือการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันของคนไทยทุกภาคส่วน ที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านอวกาศของภูมิภาคได้จริงและโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา Spaceport ของ GISTDA จึงไม่ใช่เพียงงานวิจัยเชิงวิชาการ แต่เป็นก้าวแรกของ “ยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ” ที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับประเทศในระยะยาว เป็นการสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี และเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ยุค “เศรษฐกิจแห่งอนาคต” อย่างแท้จริง จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในวันนี้ จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้ “ประเทศไทย” ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านอวกาศของภูมิภาคอาเซียน และเป็นผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจอวกาศระดับโลกในวันข้างหน้า ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว
Mr. Joe Noble ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา Spaceport จาก บริษัท เคพีเอ็มจี ประเทศ ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพทางภูมิศาสตร์โดดเด่นสำหรับการพัฒนา Spaceport ด้วยตำแหน่งที่ตั้งใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งช่วยลดพลังงานในการปล่อยจรวดขึ้นสู่วงโคจร และยังมีแนวชายฝั่งที่กว้างไกลเหมาะแก่การจัดตั้งฐานปล่อยในพื้นที่ปลอดภัย นอกจากข้อได้เปรียบทางธรรมชาติแล้ว ประเทศไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การสื่อสาร และพลังงานที่พร้อมรองรับอุตสาหกรรมอวกาศในอนาคต ทั้งยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในโครงการอวกาศระดับภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Mr. Joe Noble ให้ข้อมูลเสริมอีกว่า นอกจากการสร้าง Spaceport เพื่อส่ง payload เช่น ดาวเทียม ขึ้นสู่วงโคจร เป็นที่มีต้องการด้านการตลาดสูงในอนาคต การพัฒนา Suborbital Launches ยังเป็นอีกโอกาสของประเทศไทยที่สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติและน่าลงทุนเช่นเดียวกัน จึงทำให้ Spaceport ไม่ใช่เพียงแค่ศูนย์ปล่อยจรวด แต่เป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม เทคโนโลยีอวกาศ และเศรษฐกิจแห่งอนาคต หากประเทศไทยสามารถพัฒนา Spaceport ได้สำเร็จ จะเป็นการเปิดประตูสู่การพัฒนา “ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอวกาศ (Space Ecosystem)” อย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตดาวเทียม การปล่อย และการให้บริการด้านข้อมูลดาวเทียม ซึ่งจะลดการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมงานวิจัย นวัตกรรม และการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างโอกาสการประกอบอาชีพใหม่ และดึงดูดผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยในอุตสาหกรรมอวกาศ