“รมว.พัฒนา” เดินหน้าทำงานเคียงข้างแพทยสภา ร่วมกันกำหนดแนวทางใช้งาน AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย ช่วยลดภาระงานบุคลากร

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกพิเศษแพทยสภา ประกาศเดินหน้าเคียงข้างแพทยสภา มุ่งแก้ปัญหาภาระงานบุคลากร และสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน โดยนำ AI มาใช้ในการทำงาน และร่วมกันกำหนดแนวทางการใช้ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ ATMPs พร้อมปรับปรุง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฉบับใหม่ ให้สอดคล้องกับบริบททางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลง สามารถกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ และคุ้มครองสิทธิของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม

วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ อาคารมหิตลาธิเบศร กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกพิเศษแพทยสภา มอบนโยบายในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 10/2568 โดยมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และคณะกรรมการแพทยสภา ร่วมการประชุม โดยนายพัฒนา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสุขภาพกำลังเผชิญความท้าทายทั้งโรคอุบัติใหม่ ภาระโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ ซึ่งแพทยสภาและกระทรวงสาธารณสุขได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อหาทางออกที่สมดุลระหว่างสิทธิของประชาชน คุณภาพบริการและสวัสดิการของแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน โดยปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุข คือ ความอ่อนล้าจากภาระงาน และค่าตอบแทนบุคลากรที่ไม่สอดคล้องกับภาระงาน ตนจึงมีนโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” และ “ขวัญกำลังใจบุคลากร” ซึ่งจะใช้แนวทางการเพิ่มค่าตอบแทนตามภาระงาน การแก้ไขโครงสร้างและกฎหมายให้เอื้อต่อการทำงานของบุคลากร ตลอดจนการนำเทคโนโลยีด้านสุขภาพมาช่วยแก้ปัญหา รวมถึงให้ความสำคัญกับการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ทางการแพทย์มาใช้ประโยชน์ ซึ่งเชื่อมั่นว่า AI จะสามารถลดภาระงานได้หลายด้าน อาทิ การคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบื้องต้น การอ่านผลภาพถ่ายรังสี วิเคราะห์ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ วางแผนการรักษา ทำให้แพทย์มีเวลาในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น และยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบ Telemedicine ที่มี AI ช่วยประเมินอาการเบื้องต้นและเชื่อมต่อกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนา Super App ที่รวมบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว พร้อมระบบ AI คอยช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

นายพัฒนากล่าวต่อว่า การนำ AI มาใช้ในทางการแพทย์ จำเป็นต้องมีมาตรฐานและหลักจริยธรรมที่ชัดเจน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะทำงานร่วมกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย โดยแพทย์ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการรักษา ส่วน AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยสนับสนุน ขณะเดียวกัน ยังมีแนวคิดที่จะนำการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง หรือ ATMPs ที่เป็นจุดแข็ง ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทยสภาในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพช่วยสร้างความมั่นใจในประโยชน์และความปลอดภัยกับประขาชนและผู้รับบริการ ทั้งนี้ พร้อมที่จะร่วมมือกับแพทยสภาอย่างเต็มที่ในการปรับปรุง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฉบับใหม่ ให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบททางการแพทย์และสาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยสร้างสมดุลและความเข้มแข็งของแพทยสภาในการกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ คุ้มครองสิทธิของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม และสร้างกลไกการทำงานที่รองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยไม่สูญเสียหลักการพื้นฐานของวิชาชีพ การยึดมั่นในจรรยาบรรณ และประโยชน์ต่อทุกฝ่าย