กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดกิจกรรมสืบสานโบราณราชประเพณี “สวดพระมหาชาติคำหลวง” และ “สวดโอ้เอ้วิหารราย” เนื่องในเทศกาลวันออกพรรษา ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 6 – 8 ตุลาคม 2568 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าให้สืบทอดต่อไป
นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การสวดพระมหาชาติคำหลวงเป็นราชประเพณีที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้สืบต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและส่งเสริมการเผยแผ่พระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ปัจจุบันกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายให้จัดพิธีสวดพระมหาชาติคำหลวงในช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี โดยมีนักสวดพระมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กองศาสนพิธี กรมการศาสนา ทำหน้าที่สวดทำนองหลวงตามแบบแผนดั้งเดิมอย่างวิจิตรบรรจง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การสวดพระมหาชาติคำหลวงถือเป็นโบราณราชประเพณีที่สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดยทำนองสวดมีความไพเราะ ลึกซึ้ง และต้องอาศัยความชำนาญในการออกเสียงสูง ต่ำ สั้น ยาว อย่างถูกต้องตามหลักเสียงดนตรีหลวง ปัจจุบันเหลือเพียงการสวด “กัณฑ์มหาพน” ที่สืบต่อจากต้นฉบับเดิม นักสวดจะผลัดเปลี่ยนกันสวดในช่วงเช้าและบ่าย ระหว่างเวลา 08.30 – 16.30 น. ภายในพระอุโบสถ ซึ่งมีการจัดเตียงสวด เครื่องนมัสการ และกระบะมุกตั้งบูชาอย่างสมพระเกียรติ นอกจากนี้ การสวดพระมหาชาติคำหลวงยังถือเป็นวรรณกรรมชั้นสูงที่แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2025 มีลักษณะพิเศษ 4 ประการ คือ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเรื่องทางศาสนาและศีลธรรม ใช้คำประพันธ์หลายประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย และมีการสวดตามทำนองหลวงที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้น คำประพันธ์ดังกล่าวมีความไพเราะ แฝงไว้ด้วยคติธรรมอันลึกซึ้ง แสดงถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนาและความเชื่อในบุญกุศลของชาวไทยที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย
ด้านนายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ในเทศกาลออกพรรษาครั้งนี้ นอกจากจะมีการสวดพระมหาชาติคำหลวงภายในพระอุโบสถแล้ว กรมการศาสนายังได้จัดกิจกรรมสวด “โอ้เอ้วิหารราย” โดยเยาวชนจาก 12 โรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งผ่านการประกวดและอบรมในระดับภาคและระดับประเทศมาแล้ว ร่วมสวดที่ศาลารายรอบพระอุโบสถจำนวน 12 ศาลา ๆ ละ 10 คน สวดวันละ 2 รอบ คือ รอบเช้าเวลา 09.00 – 11.00 น. และรอบบ่ายเวลา 13.00 – 16.00 น. เพื่อให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมเรียนรู้และภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ การสวดโอ้เอ้วิหารรายเป็นวัฒนธรรมการสวดมนต์ของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ใช้บทกาพย์พระไชยสุริยา จากหนังสือมูลบทบรรพกิจ ซึ่งเป็นตำราเรียนในอดีต บทสวดมีจังหวะทำนองไพเราะ ฟังเข้าใจง่าย และมีการสอดแทรกคติธรรมเพื่อปลูกฝังคุณธรรมแก่ผู้ฟัง กรมการศาสนาได้ฟื้นฟูการสวดโอ้เอ้วิหารรายขึ้น เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกการอ่านออกเสียง การผันวรรณยุกต์ และการสาธยายธรรม เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ และเป็นเวทีให้เยาวชนได้มีบทบาทในการสืบสานประเพณีไทยให้คงอยู่ การสวดโอ้เอ้วิหารรายยังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่เดินทางมาเยี่ยมชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งต่างชื่นชมในความงดงามของเสียงสวดและระเบียบแบบแผนของเยาวชนผู้ร่วมกิจกรรม ถือเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และสร้างความภาคภูมิใจในมรดกทางจิตวิญญาณที่สืบทอดมายาวนาน
สำหรับ “วันออกพรรษา” หรือ “วันปวารณาออกพรรษา” เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2568 ถือเป็นวันสิ้นสุดการจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์ และเป็นวันที่พระสงฆ์ทำสังฆกรรมปวารณา เพื่อเปิดโอกาสให้ตักเตือนกันด้วยความเมตตา ส่วนพุทธศาสนิกชนจะนิยมทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และร่วมบำเพ็ญกุศล เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวปิดท้ายว่า การจัดสวดพระมหาชาติคำหลวงและโอ้เอ้วิหารรายครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสืบสานราชประเพณีเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมศาสนาและวัฒนธรรม สะท้อนถึงความงดงามของความเป็นไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และภาคภูมิใจสืบไป