อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ ติดตามโครงการตามพระราชดำริฯ ‘น้ำพุร้อนสันกำแพง’ จ. เชียงใหม่

อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ ติดตามโครงการพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 10 น้ำพุร้อนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นต้นแบบ Wellness Hub ระดับสากล พร้อมขับเคลื่อน 3 ประเด็น ยกระดับมาตรฐาน ผู้ให้บริการ,พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ,พัฒนาโปรแกรม ‘อาบป่า’ เชื่อมโยงธรรมชาติเพื่อขับเคลื่อนไทย สู่ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ณ โรงพยาบาลแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ดร.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ประชุมติดตามการขับเคลื่อนกิจการน้ำพุร้อนสันกำแพง ตามโครงการพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ซึ่งมีพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข และพลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี เป็นประธานโครงการฯเพื่อขับเคลื่อนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับสากลโดยมี ผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายแพทย์วรัญญู จำนงประสาทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่,ศ.ปฏิบัติ ดร.ภก.สุพัฒน์ จิรานุสรณ์กุล คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,นายเฉลิมศักดิ์ มากมูลผล ผู้จัดการน้ำพุร้อนสันกำแพง อำเภอแม่ออน ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่,นายเสกสันต์ สุทธะ นายกสมาคมไทยล้านนาสปา

ดร.นพ.พงศธร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายขับเคลื่อน 3 ประเด็นเร่งด่วน เพื่อผลักดันโครงการให้เกิดผลสำเร็จตามพระราชปณิธานและมาตรฐานสากล ได้แก่ 1. ยกระดับมาตรฐานบุคลากรและ ผู้ให้บริการ ปรับปรุงหลักสูตรฝึกอบรม เช่น วารีบำบัด และบริการสุขภาพให้ได้มาตรฐานสากล 2. พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ เน้นการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้สมุนไพรและแร่ธาตุจากน้ำพุร้อน สร้างมูลค่าเพิ่มและ รายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นแกนหลักในการวิจัยและพัฒนา และ 3. พัฒนาโปรแกรม ‘อาบป่า’ (Forest Bathing) สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เชื่อมโยงธรรมชาติ ผ่านความร่วมมือ ไตรภาคี กับจังหวัดเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ของจังหวัดเชียงใหม่

ดร.นพ.พงศธร กล่าวอีกว่า โครงการนี้นับเป็นแผนงานที่สำคัญอันดับ แรกของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และการขับเคลื่อนครั้งนี้จะเป็นการขับเคลื่อนให้น้ำพุร้อนสันกำแพงเป็นต้นแบบการพัฒนาน้ำพุร้อนที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นมาตรฐานและยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพชั้นนำของโลก”