โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมีที่มาจากแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่มุ่งเน้นการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มรายได้ให้ภาคการเกษตร ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีผลผลิตการเกษตรหลากหลายชนิด ซึ่งหลังจากการผลิต การเก็บเกี่ยว หรือการแปรรูป มักจะเกิดส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด เปลือกผลไม้ เศษผัก มูลสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกทิ้งหรือเผาทำลาย ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น และยังทำให้เกิดการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีภารกิจในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ภาคเกษตร ให้เป็นศูนย์กลางการผลิต รวบรวม แปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสมาชิก และที่ผ่านมาพบว่า หลังจากการดำเนินกิจกรรมการผลิต การเก็บเกี่ยว หรือการแปรรูปของเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์แล้ว มักจะเกิดส่วนเหลือทิ้งจากการผลิต หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน จึงมีการส่งเสริมองค์ความรู้ในการจัดการกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์ โดยให้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเพิ่มหรือที่เรียกว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสามารถลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสินค้าเกษตรชีวภาพ
ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการแสวงหาพลังงานทดแทนที่ยั่งยืน
กรมส่งเสริมสหกรณ์ ขับเคลื่อนโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ตั้งแต่ปี 2567 โดยกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้า พืชไร่ พืชสวน และปศุสัตว์ จำนวน 120 แห่ง ในพื้นที่ 38 จังหวัด จากการดำเนินโครงการฯ พบว่า สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรได้รับความรู้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมจากการวิจัยพัฒนาการนำส่วนเกินหรือผลิตผลพลอยได้หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในการลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้/การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองตลอดห่วงโซ่การผลิต จำนวน 119 แห่ง
จากผลสัมฤทธิ์โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในปี 2567 กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงเดินหน้าโครงการฯ ต่อเนื่องในปี 2568 นี้ พร้อมทั้งวางเป้าหมายเพื่อให้สินค้าเกษตรชีวภาพมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยกระบวนการทางชีวภาพ เพื่อนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ภายใต้ระบบการผลิตที่คำนึงถึงการทำเกษตรที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรชีวภาพ ปลอดสารพิษ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
สำหรับในปี 2568 ดำเนินการที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ผลิตสินค้า พืชไร่ พืชสวน ประมง และปศุสัตว์ จำนวน 130 แห่ง ในพื้นที่ 46 จังหวัด เน้นการขยายผลการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจจากวัสดุเหลือใช้ของสหกรณ์ โดยบูรณาการร่ว
มกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเสริมศักยภาพด้านการผลิต การดำเนินธุรกิจของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์การตลาด จำนวน 7 แห่ง ในพื้นที่ 7 จังหวัด อาทิ เช่น รถแทรกเตอร์พร้อมอุปกรณ์ สำหรับไถพรวนลดการเผาไหม้ โดยคาดว่าจะส่งผลให้เกิดสินค้าเกษตรชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการแสวงหาพลังงานทดแทนที่ยั่งยืน
ในส่วนของกิจกรรม ประกอบด้วย การสำรวจส่วนเหลือทิ้งจากการผลิต หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร, การจัดอบรมสร้างองค์ความรู้การนำเทคโนโลยี นวัตกรรมจากการวิจัยพัฒนาการนำส่วนเกินหรือผลิตผลพลอยได้ หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในการลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ยังเน้นการป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนอุปกรณ์ เทคโนโลยี
จากการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และสมาชิก มีรายได้จากการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตผลพลอยได้หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 3% ที่สำคัญ การนำวัสดุเหลือใช้มาแปรรูป ช่วยลดการเผาในที่โล่ง ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับสหกรณ์, กลุ่มเกษตรกร และสมาชิก ตลอดจนเกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ที่ต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนในที่สุด