สทนช. ร่วมกับหน่วยงานประเมินปริมาณฝนเป็นรายวัน ยืนยันช่วง 3 วันนี้ยังคงอัตราการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์–เจ้าพระยา เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน แต่ยังต้องจับตาฝน-พายุจรปลายเดือน ก.ย. อาจเข้าทางอีสานใต้ กลาง และตะวันออก เตรียมวางแผนเชิงป้องกันอุทกภัยพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่ 19 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ สทนช. ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเป็นการปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์และวางแผนเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้ร่วมกับ สสน. ประเมินสถานการณ์ฝนพบว่า ขณะนี้พายุโซนร้อน “มิแทก” (Mitag) กำลังเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนตอนใต้ โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าประเทศไทย แต่จากอิทธิพลของพายุดังกล่าวส่งผลให้ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ในช่วงวันที่ 19 – 22 กันยายน 2568 บริเวณพื้นที่ดังกล่าวจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง จากนั้นในช่วงวันที่ 25 – 28 กันยายน 2568 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ประกอบกับมีแนวโน้มจะเกิดพายุอีกลูกในช่วงเวลาเดียวกัน ก็จะส่งผลให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
จากกรณีดังกล่าวที่ประชุมจึงได้ร่วมกันประเมินสถานการณ์และพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พบว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำภูมิพล ปริมาณน้ำ 78% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 10 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน อ่างฯ สิริกิติ์ ปริมาณน้ำ 88% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ที่ 2,171 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที มีแนวโน้มลดลง และมีปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรังมาสมทบที่อัตรา 293 ลบ.ม. ต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 16.70 เมตร และได้มีการแบ่งการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มศักยภาพ ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายอยู่ที่ 2,200 ลบ.ม. ต่อวินาที ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นควรคงการระบายน้ำที่อ่างฯ ภูมิพล และอ่างฯ สิริกิติ์ ในอัตราเดิม เพื่อให้เขื่อนเจ้าพระยายังรักษาอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 2,200 ลบ.ม. ต่อวินาที จนถึงวันที่ 22 กันยายน 2568 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนในระยะนี้ โดยจะต้องมีการติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนเป็นรายวันเพื่อเตรียมพร้อมปรับแผนการระบายให้สอดรับกัน จากนั้นจะมีการประชุมร่วมกันเพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้งในวันที่ 22 กันยายน 2568 เพื่อวางแผนรับมือปริมาณฝนและพายุจรที่คาดว่าจะเกิดอีกครั้งในช่วงวันที่ 25 – 28 กันยายน 2568
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า ในช่วง 2 – 3 วันนี้ ปริมาณฝนยังไม่หนักมาก จะต้องอาศัยจังหวะนี้เร่งระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบนลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด จึงให้กรมชลประทานเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำทั้ง 3 ช่องทางอย่างเต็มกำลัง ได้แก่ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และการระบายทางตรงผ่านเขื่อนเจ้าพระยา โดยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติมในแต่ละจุด การประสานกรมเจ้าท่าขอความร่วมมืองดการจอดเรือลำเลียงสินค้าที่จะเป็นการกีดขวางทางน้ำ การประสานขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจากกองทัพเรือ นอกจากนี้ยังได้ประสานท้องถิ่นดำเนินการเชิงป้องกัน ได้แก่ การจัดทำคันกั้นน้ำชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง การเตรียมเครื่องสูบน้ำติดตั้งบริเวณจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง เป็นต้น
“สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากขณะนี้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้น โดยวันนี้ อ่างฯ จุฬาภรณ์ มีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ อุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำ 73% ของความจุเก็บกัก และอ่างฯ ลำปาว มีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก จะต้องวางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำในแต่ละอ่างฯ เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของอ่างฯ เพิ่มพื้นที่ว่างรองรับฝนที่จะตกมาเพิ่มในช่วงปลายเดือนกันยายน และต้องวางแผนป้องกันกรณีฝนตกหนักและเกิดมวลน้ำจากลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูลไหลไปสมทบกันที่จังหวัดอุบลราชธานี จนส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ได้ โดย สทนช. จะเดินทางไปติดตามสถานการณ์ในพื้นที่และประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในวันที่ 19 – 21 กันยายน 2568 เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือและกลุ่มลุ่มน้ำชี-มูลเป็นการล่วงหน้าด้วย” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย