กรมทะเล ร่วม SCG 3D Printing ต่อยอดไอเดีย โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 พัฒนา และนำร่องผลิตฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ขับเคลื่อนภารกิจฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 17 กันยายน 2568 – กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ SCG 3D Printing โชว์ผลงาน “ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” ไอเดียต้นแบบ รางวัลชนะเลิศจากโครงการ “ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025” มาพัฒนา ต่อยอดผลิตด้วยเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG เพื่อเป็นโครงการต้นแบบ นำร่องจัดวางในพื้นที่ตามแผนงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทยในปี 2569

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 เป็นตัวอย่างที่ดีของการมีส่วนร่วมจากสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเล เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมกับแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลของชาติ ในขณะที่ไทยกำลังเผชิญวิกฤติการฟอกขาวสูงถึง 60-80% และการเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเข้ามาช่วยเร่งการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์และยั่งยืนในอนาคต”

“เจดีย์เกลียวคลื่น” ไอเดียชนะเลิศสู่การผลิตต้นแบบจริง
ผลงาน “Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสานความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการยึดเกาะของตัวอ่อนปะการัง ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล และสภาพแวดล้อมใต้น้ำ ชูจุดแข็งของเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG ที่มีการขึ้นรูปเป็นชั้น ๆ ทรงเกลียวโค้ง ช่วยบังคับทิศทางของกระแสน้ำใต้ทะเล ช่วยให้ตัวอ่อนปะการังได้ลงเกาะง่ายขึ้น มีพื้นที่ผิวสัมผัสมากและมีช่องหรือรูลดการต้านทานกระแสน้ำ ป้องกันการสะสมของตะกอนและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสารอาหาร ตลอดจนเสนอไอเดียนำเปลือกหอยเหลือทิ้งจากชาวประมง มาบดละเอียดผสมกับปูนมอร์ตาร์นำมาขึ้นรูป ที่จะช่วยเพิ่มสารเหนี่ยวนำการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง

นายเฉลิมวุฒิ สงวนญาติ Concrete and Construction Technology Director หน่วยงาน Innovation and Technology ธุรกิจ SCG Cement and Green Solutions เผยว่า “ผลงานจากโครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยี 3D Printing ของ SCG สามารถนำมาผนวกกับองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่มีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลกับทาง ทช. ได้เป็นอย่างดี อันจะทำให้แผนงานการพัฒนาวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว แม่นยำ มากขึ้น อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในระยะยาว แสดงให้เห็นความเหมาะสมของเทคโนโลยี 3D Printing ของ SCG ในวันนี้ที่จะเข้ามาช่วย ‘ฟื้นฟู’ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศ อันสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ SCG – Inclusive Green Growth”

แผนนำร่องจัดวางวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง และการขยายผลตามแผนงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทย
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยโครงการนำร่องในการจัดวางวัสดุฐานลงเกาะ “Whirling Wave Pagoda หรือ เจดีย์เกลียวคลื่น” พร้อมแผนงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย ด้วยการจัดวางฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังอย่างเป็นระบบ โดยแผนการดำเนินงานระยะสั้น ในช่วงต้นปี 2569 ตั้งเป้าการจัดวางต้นแบบวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ในพื้นที่ 7 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 14 ไร่ พร้อมร่วมมือกับนักวิชาการจาก ทช. ในการศึกษาวิจัย ติดตามและประเมินผล ประสิทธิภาพของการลงเกาะและการเจริญเติบโตของตัวอ่อนปะการัง ความหลากหลายของจำนวนและชนิดของปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลต่อไป โดยหากผลการศึกษาประเมินผลเป็นไปตามเป้าหมายจะมีการขยายผล ไปยังพื้นที่อื่น ๆ พร้อมสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เชื่อมโยงกับพื้นที่และแผนงานการอนุรักษ์ฟื้นฟูฯ สำหรับแผนระยะยาวนั้น จะนำเสนอตัวอย่างผลงานและผลการดำเนินงาน สำหรับเป็นแนวทางไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นองค์ความรู้และต่อยอดจากแผนงานของไทย ในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้

 

ดร.ปิ่นสักก์ เสริมว่า “สิ่งที่ทำให้โครงการนี้แตกต่าง คือ การมองไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์ ทช.ไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กำลังสร้างระบบการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลที่ปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพระบบนิเวศทางทะเลซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรากำลังสู้กับการปรับตัวของธรรมชาติและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลอย่างต่อเนื่อง โดยหากเราไม่เร่งดำเนินการตอนนี้ อนาคตเราอาจไม่ได้เห็นความสวยงามของแนวปะการังไทย ที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศทางทะเลของชาติ ทั้งนี้การนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น 3D Printing มาร่วมออกแบบ พัฒนาโครงสร้างฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังนี้ เราสามารถปรับได้ในหลายมิติ และปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ เช่น ความลึก ความแรงและทิศทางของกระแสน้ำ การจมตัวของชิ้นงาน อุณหภูมิ ซึ่งสามารถต่อยอด พัฒนากับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะมีในอนาคต ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง การติดตามวัดผลได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลได้อย่างยั่งยืน”