สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด หลังคาดการณ์ว่า 17-22 ก.ย. ฝนจะกลับมาอีกครั้ง ผนวกกับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ต้องบริหารจัดการน้ำให้สมดุล วางแผนเร่งระบายน้ำออกจากแหล่งน้ำต่างๆ อย่างประณีตเน้นลดผลกระทบประชาชน พร้อมจับตาพายุช่วงปลายเดือนก.ย.-ต.ค.นี้
วันที่ 16 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ สทนช. ได้มีการประชุมหารือการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาร่วมกับ สสน. คาดการณ์ปริมาณฝนพบว่า ช่วงวันที่ 17–21 ก.ย. 68 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขณะเดียวกัน สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูงส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำในช่วงนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่างสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และการเตรียมการรับมือฝนที่จะตกมาเพิ่มในช่วงถัดไปด้วย อีกทั้งในช่วงปลายเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มการก่อตัวของพายุจากประเทศฟิลิปปินส์ที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
สำหรับสถานการณ์น้ำในแหล่งกักเก็บน้ำวันนี้ ภาพรวมพบว่าหลายแห่งมีปริมาณน้ำมาก ได้แก่ อ่างเก็บน้ำภูมิพลมีปริมาณน้ำ 78% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ สิริกิติ์มีปริมาณน้ำ 88% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ แควน้อยบำรุงแดนมีปริมาณน้ำ 82% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ อุบลรัตน์มีปริมาณน้ำ 72% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ ป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ 63% ของความจุเก็บกัก ในขณะที่พื้นที่หน่วงน้ำ ได้แก่ พื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำมีปริมาณน้ำ 91% ของความจุเก็บกัก และบึงบอระเพ็ดมีปริมาณน้ำ 121% ของความจุเก็บกัก ทั้งนี้ ปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และฉะเชิงเทรา ขณะที่วันนี้ปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ที่ 2,246 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที และเขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายอยู่ที่ 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที
ในวันนี้ สทนช. จึงได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางในการเร่งระบายน้ำในพื้นที่ต่างๆ ลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด พร้อมลดผลกระทบพื้นที่น้ำท่วมในปัจจุบัน โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพร่องน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับปริมาณฝนชุดถัดไปและรักษาความปลอดภัยของอ่างฯ ได้แก่ อ่างฯ ภูมิพล อ่างฯ สิริกิติ์ อ่างฯ แควน้อยบำรุงแดน และ อ่างฯ ป่าสักชลสิทธิ์ โดยให้วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน ในส่วนของการเร่งระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยานั้น กรมชลประทานได้รับการอนุมัติหลักการจากประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในการปรับเพิ่มการระบายน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,000 – 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาทีแล้ว โดยกรมชลประทานจะพิจารณาทยอยปรับเพิ่มการระบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ โดยให้มีการแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานและประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบรับทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมการรองรับได้ทัน นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กรมชลประทานเตรียมความพร้อมพื้นที่ลุ่มต่ำหน่วงน้ำทั้ง 10 ทุ่งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยหน่วงชะลอน้ำเพิ่มเติมด้วย
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า จากการหารือในวันนี้ได้กำชับให้ สทนช. ร่วมกับกรมชลประทาน เร่งดำเนินการประเมินปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อนำไปใช้ปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ทั้งนี้ กฟผ. จะยังคงอัตราระบายน้ำของอ่างฯ สิริกิติ์อยู่ที่ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ส่วนอ่างฯ ภูมิพลจะปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งยังสามารถควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในระดับไม่ให้เกิน 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที นอกจากนี้ สทนช. จะประสานกองทัพเรือเพื่อเสริมเรือผลักดันน้ำเข้าไปติดตั้งในการช่วยเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างให้ระบายออกสู่ทะเลได้เร็วขึ้น รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการระดมกำจัดวัชพืชและผักตบชวาที่เป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อช่วยเปิดเส้นทางน้ำให้สามารถระบายน้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อลดผลกระทบประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด