กรมประมง..เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมอาชีพประมง เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรซึ่งอยู่ระหว่างการพักชำระหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในพื้นที่ ณ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท จำนวน 130 ราย ด้วยการเลี้ยงกบนาเพื่อบริโภคและประกอบอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ และช่วยลดภาระหนี้สินให้ครัวเรือน
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมอาชีพประมง เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรพักชำระหนี้ เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกร โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพียงพอ และสามารถชำระหนี้ได้ในอนาคต ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
กรมประมง โดยนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง จึงได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าประมงที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มได้ภายในระยะเวลาอันสั้น พร้อมช่วยเสริมศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ โดยสนับสนุนงบประมาณในปี 2568 จำนวน 1,860,000 บาท ให้กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และสำนักงานประมงจังหวัดชัยนาท ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพประมง กิจกรรมฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรพักชำระหนี้ กิจกรรมย่อยส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการพักชำระหนี้ โดยได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่เป็นลูกค้ากลุ่มพักชำระหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดชัยนาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาวัดสิงห์ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่มีความต้องการให้ส่งเสริมการเลี้ยงกบนา
เนื่องจาก กบนา เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง ราคาดี กิโลกรัมละ 50-70 บาท และหากแปรรูปเป็นกบถอดเสื้อจะเพิ่มมูลค่าได้ถึงกิโลกรัมละ 80 บาท อีกทั้งตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ใช้เงินลงทุนไม่มากเลี้ยงง่าย และใช้ระยะเวลาเพียง 2-3 เดือน ก็สามารถจับจำหน่ายได้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของเกษตรกรในระหว่างการพักชำระหนี้แล้ว ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพอาชีพที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคตอีกด้วย โดยกรมประมงได้สนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีการเลี้ยง ปัจจัยการผลิต และมีการติดตามให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดการฝึกอบรมเพื่อให้เกษตรกรได้พัฒนาทักษะด้านการเลี้ยงกบนาให้ตรงตามความต้องการของตลาด การเพิ่มมูลค่าผลผลิต รวมถึงการจัดการด้านการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เข้าร่วมโครงการฯ 130 ราย โดยเกษตรกรจะได้รับการสนับสนุนลูกพันธุ์กบนาขนาดไม่น้อยกว่า 2.8 เซนติเมตร รายละ 1,200 ตัว เพื่อเลี้ยงในกระชังบกขนาด 2x3x1.2 ตารางเมตร รายละ 2 กระชัง อาหารกบรายละ 5 กระสอบ รวมถึงชุดวิเคราะห์คุณภาพน้ำและแผ่นยางรองพื้น ซึ่งได้เริ่มดำเนินการเลี้ยงรอบที่ 1 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 รอบที่ 2 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 และรอบที่ 3 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 โดยขณะนี้เกษตรกรสามารถดำเนินการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เป็นอย่างดี มีการจำหน่ายในตลาดภายในหมู่บ้าน ร้านอาหารในจังหวัดชัยนาท และขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้แก่ อุดรธานี สุโขทัย สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี สุพรรณบุรี และนครสวรรค์ เป็นต้น โดยเกษตรกรจะมีการติดตามสถานการณ์ด้านราคาผ่านสำนักงานประมงจังหวัดชัยนาท เพื่อป้องกันการถูกกดราคา ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าโครงการฯ ดังกล่าวจะสามารถสร้างเม็ดเงินให้เกษตรกรได้ถึงกว่า 1,200,000 บาท
อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่เป็นวัสดุที่ใช้ในการเลี้ยงในครั้งนี้ ยังสามารถใช้เลี้ยงลูกกบในรุ่นถัดไปได้อีกหลายรุ่น และหากประสบความสำเร็จเหมือนรุ่นแรก เกษตรกรจะมีรายได้อีกจำนวน 1,200,000 บาทต่อรุ่น ซึ่งจากที่รัฐได้สนับสนุนงบประมาณโครงการฯ 1,860,000 บาท จะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่คุ้มค่า เกิดประโยชน์ เกิดอาชีพ สามารถสร้างรายได้ช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างแท้จริง
ด้านนายธเนตร ศรีเมือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลหนองขุ่น อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ให้ข้อมูลว่า เดิมชาวบ้านในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่มันสำปะหลัง และไร่อ้อยเป็นหลัก ไม่มีรายได้เสริมอย่างอื่น จึงทำให้บางรายประสบปัญหาภาระหนี้สิน เจ้าหน้าที่กรมประมงจึงได้เข้ามาให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพประมง เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพในช่วงพักชำระหนี้ด้วยการเลี้ยงกบนา เพื่อเป็นรายได้เสริม โดยได้มอบปัจจัยการเลี้ยงต่าง ๆ เช่น ลูกพันธุ์กบ กระชัง อาหารสำหรับเลี้ยง ชุดวิเคราะห์คุณภาพน้ำและแผ่นยางรองพื้น พร้อมจัดฝึกอบรมส่งเสริมความรู้ให้เกษตรกร รวมถึงเก็บข้อมูลและติดตามผลการเลี้ยงในด้านต่าง ๆ ทั้งอัตราการเจริญเติบโต รายได้จากการจำหน่าย รวมทั้งให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเกษตรกรสามารถจับผลผลิตออกจำหน่าย และสามารถสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี จึงอยากให้ทางกรมประมงได้สนับสนุนโครงการฯ นี้ ต่อไป พร้อมผลักดันให้เป็นอาชีพหลักของเกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง
นางอัมพร เขียดขำ หนึ่งในตัวแทนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวมีอาชีพหลักจากการทำนาเพียงอย่างเดียว รายได้ไม่แน่นอน และยังต้องรับภาระหนี้สิน แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงกบนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตจากกรมประมง รวมถึงการอบรมความรู้ต่าง ๆ ทำให้สามารถเริ่มต้นเลี้ยงกบได้อย่างมั่นใจใช้เวลาเพียง 2-3 เดือน ก็สามารถจับกบจำหน่ายได้ มีรายได้เสริมเฉลี่ยครั้งละหลายพันบาท ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และหวังว่าโครงการฯ นี้จะได้รับการผลักดันให้เป็นอาชีพหลักของชาวบ้านต่อไปในอนาคต เพราะนอกจากจะสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นอาชีพที่ทำได้จริง ไม่ต้องลงทุนสูง และมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า การส่งเสริมการเลี้ยงกบนา ไม่เพียงแค่ช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้สินของเกษตรกรในช่วงพักชำระหนี้ แต่ยังเป็นการสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี สามารถนำความรู้ ทักษะ และโอกาสไปพัฒนาต่อยอดอาชีพด้านการประมงได้ในอนาคต เพื่อให้เกษตรกรก้าวพ้นกับดักหนี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
โดยในปีงบประมาณ 2569 กรมประมงพร้อมที่จะขยายผลการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลักได้ต่อไป โดยจะส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็งภายในชุมชน สนับสนุนการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และขยายช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสร้างความยั่งยืนให้กับภาคการประมงไทยในระยะยาว