1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เพชรบูรณ์ (141 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย (85 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (95 มม.) ภาคกลาง : จ.สุพรรณบุรี (131 มม.) ภาคตะวันออก : จ.ตราด (55 มม.) ภาคใต้ : จ.สุราษฎร์ธานี (68 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และอ่าวไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 17 – 21 ก.ย. 68 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 75% ของความจุเก็บกัก (60,697 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 63% (36,577 ล้าน ลบ.ม.)
3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (15 ก.ย. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำหลายสายเพิ่มสูงขึ้นและล้นตลิ่งเข้าท่วมชุมชนพื้นที่ลุ่มต่ำและริมแม่น้ำ โดยเฉพาะระดับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,224 ลบ.ม. ต่อวินาที รวมกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลลงมาสมทบที่อัตรา 102 ลบ.ม. ต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำบริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้คงอัตราการระบายที่ 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที จึงมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำท่าจีนเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในหลายพื้นที่ของ จ.สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร ทั้งนี้ สทนช. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด
สำหรับแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลางก่อนระบายออกสู่อ่าวไทย ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งการระบายน้ำช้าจากภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม ปัญหาตะกอนทับถมทำให้ลำน้ำตื้นเขิน ความคดเคี้ยวของลำน้ำ รวมถึงผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และการขยายตัวของชุมชนที่กีดขวางเส้นทางน้ำ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่ท้ายน้ำด้วย ทั้งนี้ สทนช. จะติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
4. พื้นที่ประสบอุทกภัย : วันที่ 15 ก.ย. 68 เกิดสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ 12 จ. 47 อ. ได้แก่ จ.พิษณุโลก (อ.วังทอง และบางระกำ) จ.พิจิตร (อ.เมืองฯ สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ ดงเจริญ และสากเหล็ก) จ.เพชรบูรณ์ (อ.หนองไผ่ บึงสามพัน วิเชียรบุรี และศรีเทพ) จ.นครสวรรค์ (อ.เมืองฯ ชุมแสง และตาคลี) จ.อุทัยธานี (อ.เมืองฯ) จ.ชัยนาท (อ.เมืองฯ สรรพยา มโนรมย์ และวัดสิงห์) จ.สิงห์บุรี (อ.เมืองฯ อินทร์บุรี และพรหมบุรี) จ.อ่างทอง (อ.เมืองฯ ป่าโมก วิเศษชัยชาญ และไชโย) จ.สุพรรณบุรี (อ.เมืองฯ บางปลาม้า เดิมบางนางบวช ด่านช้าง และสองพี่น้อง) จ.พระนครศรีอยุธยา (อ.เสนา ผักไห่ บางบาล บางไทร บางปะอิน และพระนครศรีอยุธยา) จ.นครปฐม (อ.เมืองฯ บางเลน สามพราน และกำแพงแสน) และ จ.ฉะเชิงเทรา (อ.เมืองฯ และบางน้ำเปรี้ยว)