สทนช. เสริมศักยภาพกลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง ชูแนวคิดการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติและการปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ เร่งสร้างความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม เพื่อรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วันที่ 12 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมปฐมนิเทศโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม ในพื้นที่ 8 จังหวัดริมน้ำโขง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ดร.วินัย วังพิมูล ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ สทนช. กล่าวรายงาน พร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมประมง สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เป็นต้น รวมทั้งประธานเครือข่ายและตัวแทนภาคประชาชนจังหวัดริมแม่น้ำโขง คณะอาจารย์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้าร่วม ณ โรงแรมพักพิงอิงโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า “แม่น้ำโขง” เป็นแม่น้ำนานาชาติที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและการเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง รวมทั้งแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแม่น้ำโขงสายประธานและการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อระดับน้ำและการไหลของน้ำในแม่น้ำโขง ทั้งในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมกัดเซาะชายฝั่งและตลิ่งมากขึ้น และในช่วงฤดูแล้ง ส่งผลให้เกิดปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงและยาวนานมากขึ้นด้วย โดยแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านประเทศไทยมีความยาวกว่า 800 กิโลเมตร ผ่าน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนริมแม่น้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ผ่านมา สทนช. ได้เดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับชาวบ้านริมแม่น้ำโขงได้รับทราบถึงผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกระบวนการเครือข่ายให้มีความเข้มแข็งและเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมากยิ่งขึ้น สำหรับโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม ในพื้นที่ 8 จังหวัดริมน้ำโขง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จัดขึ้นโดย สทนช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีระยะเวลาดำเนินงาน 270 วัน เริ่ม 27 พฤษภาคม 2568 – 20 กุมภาพันธ์ 2569 เพื่อมุ่งเสริมสร้างศักยภาพและความรู้ความเข้าใจของภาคประชาสังคมในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม โดยใช้แนวทางการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions: NbS) และการปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ (Ecosystem-based Adaptation: EbA) ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ว่าสามารถลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเพิ่มความยั่งยืนในการจัดการทรัพยากรของชุมชน มีพื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุมทั้ง 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พึ่งพาและใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันในการกำหนดแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การประชุมในวันนี้ ถือเป็นกิจกรรมแรกของโครงการฯ เพื่อชี้แจงความเป็นมา เป้าหมาย ขั้นตอนการดำเนินงาน และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ นักวิชาการและเครือข่ายชุมชน เพื่อให้เกิดการบูรณาการทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขงให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป