1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงราย (92 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.กาฬสินธุ์ (45 มม.) ภาคกลาง : จ.สุพรรณบุรี (32 มม.) ภาคตะวันออก : จ.ฉะเชิงเทรา (82 มม.) ภาคตะวันตก : จ.ราชบุรี (96 มม.) ภาคใต้ : จ.ภูเก็ต (40 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่ง
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 13–17 ก.ย. 68 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยยังคงมีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะเริ่มมีฝนลดลง ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคตะวันออก
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 74% ของความจุเก็บกัก (59,573 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 61% (35,448 ล้าน ลบ.ม.)
3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (11 ก.ย. 68).นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ครั้งที่ 3/2568 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เนื่องจากอิทธิพลของพายุทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อให้มีพื้นที่ว่างของเขื่อนรองรับน้ำหลากในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. 68 และรักษาความปลอดภัยเขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ที่ปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำร้อยละ 87 ของความจุเก็บกัก และเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำร้อยละ 76 ของความจุเก็บกัก แต่ด้วยปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 บริเวณ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 2,100 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ประกอบกับมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลมาสมทบเพิ่มเติม สทนช. จึงได้ประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ
กรมชลประทาน พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ในช่วงวันที่ 11-14 ก.ย. 68 โดยจะปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล จาก 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และปรับลดการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จาก 30 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อชะลอปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสมทบกับสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะไม่กระทบต่อพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำหลากในช่วงระยะต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับ 17.1 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 13-15 ก.ย. 68 อาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจะทำให้มีมวลน้ำไหลลงมายังเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อลดความเสี่ยงปริมาณน้ำเกินระดับควบคุมซึ่งจะทำให้ต้องเร่งระบายน้ำในคราวเดียวและอาจเกิดผลกระทบในวงกว้างได้ โดยที่ประชุมมีมติให้เริ่มปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิม 1,900 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 1,950 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมทั้งจะระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพิ่มขึ้น โดยผ่านทางแม่น้ำท่าจีนและทุ่งรับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฉพาะในส่วนที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ เพื่อช่วยควบคุมอัตราการระบายน้ำของเขื่อนให้ได้มากที่สุด โดยการเพิ่มการระบายน้ำจะส่งผลกระทบในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา และแม่น้ำน้อยบริเวณ ต.ลาดชิด และท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ริมน้ำบางแห่งของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง จึงได้ซักซ้อมทำความเข้าใจร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หลังปรับเพิ่มอัตราการระบายดังกล่าว โดยเน้นย้ำให้มีการสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ จะมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด