สทนช. ประชุมศูนย์ส่วนหน้าฯ โขงอีสาน วางแผนรับมือฝนปลายฤดู เร่งบริหารจัดการแหล่งน้ำเสี่ยงล้นความจุ ลดผลกระทบประชาชน

สทนช. หารือจังหวัดและหน่วยงานลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ หลังปริมาณน้ำในแหล่งน้ำหลายแห่งเพิ่มสูงขึ้นใกล้ล้นความจุ ย้ำต้องบูรณาการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงภาพรวม

วันที่ 10 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 5/2568 โดยมี นายวีระ ฤกษ์วาณิชย์กุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยนายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดสกลนคร และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์อุทกภัย บริเวณหนองสนม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุหลายลูก ทั้ง “วิภา” “คาจิกิ” และ “หนองฟ้า” ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ว่าปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะไม่สูงมากนัก แต่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำหลายแห่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ในช่วง 2 – 3 วันนี้ ยังคงมีแนวโน้มฝนตกในพื้นที่ค่อนข้างมาก แม้ว่าหลังจากนั้นฝนจะลดลงแต่ยังคงตกต่อเนื่อง ก่อนจะกลับมาตกเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ดังนั้น สทนช. จึงได้ประชุมร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำที่มีแนวโน้มเกินความจุเก็บกัก และซักซ้อมการเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยร่วมกัน เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะหนองหาร จังหวัดสกลนคร ที่ก่อนหน้านี้มีปริมาณน้ำเกินความจุเก็บกัก ซึ่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 สทนช. ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความพร้อมในการรับมืออุทกภัย ปัจจุบันปริมาณน้ำในหนองหารลดลงเหลือร้อยละ 98 ของความจุเก็บกัก และยังคงพร่องน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับมวลน้ำหากเกิดฝนตกหนักระลอกใหม่ พร้อมทั้งเร่งกำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำบริเวณประตูระบายน้ำสุรัสวดี และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมบริเวณประตูระบายน้ำหนองบึง เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน เขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร มีปริมาณน้ำมากถึงร้อยละ 90 ของความจุเก็บกัก และคาดว่าในอีก 7 วันข้างหน้า อาจเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 94 – 97 ของความจุเก็บกัก โดยมีการระบายน้ำสูงสุดตามศักยภาพเพื่อพร่องน้ำ ควบคู่กับการสนับสนุนภาคเกษตรกรรม และได้มอบหมายให้กรมชลประทานเตรียมแผนสำรองเพื่อรองรับกรณีเกิดฝนตกหนักและน้ำเกินความจุเก็บกัก เช่น การใช้ “ระบบกาลักน้ำ” เพื่อเพิ่มการระบายน้ำ พร้อมกำชับให้คำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำอย่างรอบคอบ สำหรับเขื่อนห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำร้อยละ 97 ของความจุเก็บกัก และมีแนวโน้มเกินความจุในอีก 7 วันข้างหน้า จึงได้พิจารณาพร่องน้ำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อน พร้อมเร่งผลักดันการระบายน้ำในพื้นที่ท้ายน้ำที่มีลักษณะเป็นคอคอด รวมถึงติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเสริมคันกั้นน้ำเพิ่มเติมในจุดที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ แหล่งน้ำที่มีความเชื่อมโยงกันในแต่ละจังหวัด เช่น มวลน้ำจากหนองหารที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่จังหวัดนครพนม และมวลน้ำจากเขื่อนห้วยหลวงที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่จังหวัดบึงกาฬและหนองคาย จะต้องมีการบริหารจัดการให้สอดคล้องกันในภาพรวม โดยให้ทุกจังหวัดและหน่วยงานประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และให้ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อเตรียมพร้อมเชิงป้องกันได้อย่างทันท่วงที โดยขณะนี้ช่วงฤดูฝนยังคงเหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน ซึ่งปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้จำนวนมากในแหล่งน้ำต่าง ๆ จะสามารถใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมกิจกรรมช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงได้อย่างเต็มศักยภาพ