1 ปีมีครั้งเดียว สมาคมฮินดูสมาชร่วมกับกรมการศาสนา เตรียมจัดงาน “คเณศจตุรถี 2568” ยิ่งใหญ่

สมาคมฮินดูสมาช วัดเทพมณเฑียร ร่วมกับกรมการศาสนา จัดงานพิธีคเณศจตุรถี ประจำปี พ.ศ 2568 ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 6 กันยายน 2568 ณ วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช และ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า “พิธีคเณศจตุรถีเป็นเทศกาลใหญ่ที่จัดขึ้นปีละครั้ง จะจัดขึ้นในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือนภัทรปท ตามปฏิทินจันทรคติของอินเดีย เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการอวตารขององค์พระพิฆเนศ เทพแห่งปัญญา ความสำเร็จ และความเป็นสิริมงคล ซึ่งได้รับการเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศอินเดียและทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีการสักการะพระพิฆเนศมาอย่างต่อเนื่องในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของประชาชน

อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อไปว่า “กรมการศาสนามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาในประเทศไทย การจัดพิธีคเณศจตุรถีครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสืบทอดศรัทธาในองค์พระพิฆเนศ แต่ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนในสังคมไทย” ภายในงานมีการอัญเชิญองค์พระพิฆเนศที่จัดสร้างเพื่อบูชาเฉพาะในพิธีจากวัดเทพมณเฑียรมาประดิษฐาน ณ ลานลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมสักการะ พร้อมกิจกรรมทางวัฒนธรรมมากมาย อาทิ ขบวนแห่ การบูชาเครื่องสักการะต่อองค์เทพอันศักดิ์สิทธิ์ โดยพิธีจะแบ่งเป็นสองช่วง คือ วันที่ 27 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน 2568 จัดพิธีบูชา ณ วัดเทพมณเฑียร เขตพระนคร วันที่ 4 ถึง 6 กันยายน 2568 จัดพิธีบูชา ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 4 กันยายน 2568 พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เป็นประธานในพิธีแห่อัญเชิญพระพิฆเนศจากวัดเทพมณเฑียรสู่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และในวันที่ 6 กันยายน 2568 จัดพิธี “วิซาร์ยัน” คือ การแห่อัญเชิญพระพิฆเนศลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่ออัญเชิญองค์พระพิฆเนศกลับสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งเป็นไปตามประเพณีโบราณ องค์พระพิฆเนศทำจากดินเหนียว เมื่อแช่น้ำจะละลายและผสมกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ขบวนแห่และการลอยองค์พระพิฆเนศเป็นกิจกรรมรวมหมู่ของศาสนิกชนที่สร้างความสามัคคีของชุมชนสื่อถึงการรวมพลังศรัทธาและคำอธิษฐานไปกับพระพิฆเนศ เพื่อให้พรที่ขอไว้บังเกิดผล

อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวทิ้งท้ายว่า “การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนทุกศาสนาสามารถมีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงความศรัทธาตามหลักทางศาสนาของตน เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติทางศาสนา เป็นการยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ โดยการบูชาสิ่งที่เป็นวัตถุมงคล และของที่ระลึก ที่จะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในการขายสินค้า และบริการต่าง ๆ ก่อให้เกิด สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในมิติศาสนา ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน \\\