สทนช. จับมือเยอรมนีและออสเตรเลีย ร่วมกับ FAO เปิดเวทีระดมสมอง-แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อผลการศึกษารูปแบบการถือครองทรัพยากรน้ำ (Water Tenure) ในพื้นที่นำร่อง “ลุ่มน้ำประแสร์และลุ่มน้ำป่าสัก” เพื่ออุดช่องว่างและเติมเต็มผลการศึกษา มุ่งสร้างความสมดุลในการจัดสรรทรัพยากรน้ำได้อย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และยั่งยืน
วันที่ 2 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับประเทศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อผลการศึกษา ภายใต้โครงการยกระดับขีดความสามารถในการกำกับดูแลรูปแบบการถือครองทรัพยากรน้ำ ตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร ความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมีส่วนร่วมทางสังคม (ScaleWat) โดยมี นายโรเบิร์ต ซิมป์สัน รองผู้แทนระดับภูมิภาค ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) นายโยฮันเนส แคร์เนอร์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย และนายจอห์น ฟรานซิส ที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนา สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและภูมิภาค นักวิชาการ และผู้แทนจากพื้นที่นำร่องทั้ง 2 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำประแสร์และลุ่มน้ำป่าสัก เข้าร่วมกว่า 70 คน ณ โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ เขตธนบุรี กทม.
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า จากแนวคิดของ FAO ได้ชี้ให้เห็นว่า หลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย กำลังเผชิญความท้าทายด้านการจัดสรรน้ำ ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายหรือหลักความเป็นธรรมในบางมิติ จึงได้พัฒนาแนวคิดรูปแบบการถือครองทรัพยากรน้ำ หรือ Water Tenure เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการใช้น้ำอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งกิจกรรมที่เป็นทางการและกิจกรรมที่อาจถูกมองข้าม แนวคิดนี้จะช่วยสร้างความสมดุลในการจัดสรรน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วน ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลเยอรมนีและรัฐบาลออสเตรเลีย โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในสองประเทศนำร่องของโครงการ ScaleWat หรือ Scaling up Water Tenure Governance in Thailand ร่วมกับประเทศโคลัมเบียที่อยู่ในภูมิภาคละตินอเมริกา ซึ่งถือเป็นโอกาสในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีระดับสากลในการบริหารจัดการน้ำของประเทศและในภูมิภาคเอเชีย โดยได้เลือก “ลุ่มน้ำประแสร์” เป็นพื้นที่ศึกษา เนื่องจากเป็นลุ่มน้ำสำคัญทางเศรษฐกิจที่ต้องรองรับการใช้น้ำของจังหวัดระยองและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อเริ่มดำเนินงานในประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 มุ่งเน้นการพัฒนาระเบียบวิธีและเครื่องมือเพื่อประเมินรูปแบบการถือครองน้ำ และความรับผิดชอบในการใช้น้ำ รวมทั้งส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล สนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการมีส่วนร่วมของสังคม ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำ ในการประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่ลุ่มน้ำประแสร์เพื่อรับฟังความคิดเห็นผ่านแบบสัมภาษณ์ จำนวน 2 ครั้ง ในเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 และคณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน–กรกฎาคม 2568
สำหรับโครงการ Water Scarcity Programme สทนช. ร่วมกับ FAO ได้ดำเนินการศึกษารูปแบบการใช้น้ำในพื้นที่ “ลุ่มน้ำป่าสัก” เพื่อสะท้อนปัญหาและโอกาสของการจัดการน้ำในบริบทที่แตกต่างกัน ได้เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจด้านบัญชีน้ำและแผนปฏิบัติการจัดการน้ำขาดแคลน ซึ่งการศึกษารูปแบบการถือครองน้ำเป็นกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการนี้ด้วย รวมทั้งได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเบื้องต้นในลุ่มน้ำป่าสัก เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568
“การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตรวจสอบความครอบคลุมและความครบถ้วนของผลการศึกษา และหารือแนวทางการนำผลลัพธ์ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดยในช่วงเช้า เป็นการนำเสนอผลการศึกษาและความก้าวหน้าของทั้งสองลุ่มน้ำ และในช่วงบ่าย เป็นการเสวนาและแบ่งกลุ่มเพื่อให้ความคิดเห็นต่อผลการศึกษา ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก FAO รัฐบาลออสเตรเลียและเยอรมนี ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและภูมิภาค นักวิชาการ รวมทั้งผู้แทนจากพื้นที่นำร่องทั้ง 2 ลุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสะท้อนบริบทเชิงพื้นที่ ข้อจำกัด และปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ เพื่อให้ผลการศึกษามีความครบถ้วน สมบูรณ์ และสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ สทนช. ขอขอบคุณ FAO รัฐบาลเยอรมนี และรัฐบาลออสเตรเลีย ที่ให้การสนับสนุน แลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนทุกหน่วยงาน ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ และอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งทั้งสองโครงการมุ่งหวังให้ผลการศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุช่องว่างและโอกาสในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ โดยอาศัยหลักการทางวิชาการของ FAO ผสานกับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดสรรน้ำและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียม และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นแนวทางสำหรับการประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำของประเทศต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าว