สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 1 ก.ย. 68 เวลา 7.00 น.

1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ: จ.สุโขทัย (155 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จ.หนองบัวลำภู (139 มม.) ภาคกลาง: กรุงเทพมหานคร (48 มม.) ภาคตะวันออก: จ.ตราด (67 มม.) ภาคตะวันตก: จ.ประจวบคีรีขันธ์ (24 มม.) ภาคใต้: จ.ชุมพร (281 มม.)

สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนักมากบางแห่ง

คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 2 – 6 ก.ย. 68 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก

2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 68% ของความจุเก็บกัก (54,993 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 53% (30,922 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที

3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (31 ส.ค. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานและจังหวัดด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา โดยมีนายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท จากนั้นลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ บริเวณเขื่อนเจ้าพระยา และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยใน จ.สิงห์บุรี และอ่างทอง ตามลำดับ
การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ที่มีความห่วงใยสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานและจังหวัดร่วมกันวางแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือสถานการณ์น้ำหลากอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากพื้นที่ตอนบนของประเทศ โดยเฉพาะลุ่มน้ำยม – น่าน มีปริมาณน้ำมากจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” และ “คาจิกิ” รวมถึงพายุ “หนองฟ้า” ที่อ่อนกำลังลงกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเข้าปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้มีฝนตกหนักและตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนภูมิพล ยังคงมีน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำมากถึงร้อยละ 85 ของความจุเก็บกัก จึงต้องเพิ่มการระบายน้ำจาก 40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เป็น 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยพิจารณาปรับเพิ่มหรือลดการระบายน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณฝนตกบริเวณท้ายเขื่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบน้ำท่วม ซึ่งมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนกำลังทยอยเคลื่อนตัวลงมาสู่พื้นที่ตอนล่าง และไหลมารวมกันยังเขื่อนเจ้าพระยา ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ก.ย. 68 ร่องมรสุมจะเลื่อนต่ำลงมาพาดผ่านภาคกลาง ทำให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น

ที่ประชุมจึงมีมติให้ช่วงเวลา 1 – 2 สัปดาห์นี้ ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา จากเดิม 1,300 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็นไม่เกิน 1,500 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อให้มีพื้นที่ว่างรองรับมวลน้ำ รวมทั้งลดความเสี่ยงที่จะต้องระบายน้ำปริมาณมากในช่วงที่มีฝนตกหนักและน้ำทะเลหนุนสูง โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ การระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ของ จ.อยุธยาและปทุมธานี จึงมอบหมายให้กรมชลประทาน (ชป.) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ สทนช. จะประสานงานร่วมกับ ชป. ติดตามสถานการณ์ฝนทั้งด้านเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการระบายน้ำให้เหมาะสม และจะมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ซึ่งจะทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์น้ำหลากและอุทกภัยในพื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมทั้ง ทุกหน่วยงานจะบูรณาการร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำแบบกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งประกอบด้วยลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ป่าสัก ท่าจีน และเจ้าพระยา เพื่อให้สามารถจัดการมวลน้ำได้อย่างสอดคล้องและสัมพันธ์กันทั้งหมด