สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 31 ส.ค. 68 เวลา 7.00 น.

1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.พิษณุโลก (172 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.กาฬสินธุ์ (165 มม.) ภาคตะวันตก : จ.ประจวบคีรีขันธ์ (5 มม.) ภาคกลาง : กรุงเทพมหานคร (4 มม.) ภาคตะวันออก : จ.ตราด (77 มม.) ภาคใต้ : จ.พังงา (73 มม.)

สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ กับมีลมแรง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่อ่อนกำลังลงจากพายุดีเปรสชัน “หนองฟ้า” ปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนตามแนวร่องมรสุมเข้าปกคลุมบริเวณภาคเหนือ

คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 1 – 5 ก.ย. 68 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 68% ของความจุเก็บกัก (54,691 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 52% (30,572 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที

3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (30 ส.ค.”68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำยม – น่าน และการลดผลกระทบจากการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ และการเตรียมความพร้อมกรณีเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉิน โดยมีผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม – น่าน ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พร้อมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือใน จ.สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และพิจิตร ตามลำดับ

จากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ต่อเนื่องด้วย พายุ “คาจิกิ” ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำยม – น่าน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำยมที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำจำนวนมาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) จึงได้มอบหมายให้ สทนช. ลงพื้นที่หารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างเร่งด่วน โดยในที่ประชุมกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รายงานเกี่ยวกับพายุโซนร้อนบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำพัดปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 68 จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่างและบางส่วนของภาคเหนือตอนบน นอกจากนี้ คาดว่าในเดือน ก.ย. 68 จะยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นอย่างต่อเนื่องจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และยังมีโอกาสที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยตอนบนได้ ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเร่งระบายน้ำออกจากลุ่มน้ำยม โดยกรมชลประทานจะเพิ่มการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองหกบาท จากอัตรา300 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เป็น 380 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยปริมาณน้ำจะไหลผ่านไปทางแม่น้ำยมสายเก่าประมาณ 170 ลบ.ม. ต่อวินาที และคลองยม – น่าน 210 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมทั้งเพิ่มการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่บริเวณประตูระบายน้ำบางแก้ว เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมสายเก่า โดยทั้งหมดจะไหลรวมลงสู่แม่น้ำน่านต่อไป ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำน่านเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 85 ของความจุเก็บกัก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับลดการระบายของเขื่อนลงเหลือไม่เกิน 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ท้ายน้ำ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้เพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรา 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เตรียมรองรับน้ำที่จะเข้ามาเพิ่ม เพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อน ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมชลประทานจัดการจราจรน้ำของเขื่อนผาจุก เขื่อนนเรศวร เขื่อนพญาแมน ประตูระบายน้ำมะขามสูง และเขื่อนเจ้าพระยาให้สอดคล้องกัน เพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการระบายน้ำของพื้นที่ตอนบนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งให้จังหวัดด้านท้ายเขื่อนดังกล่าวประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและเตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างรัดกุม