สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ย้ำบทบาทเชิงรุกในการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเพื่อสุขภาพ (Healthy Food) ผ่านกลไกการกำกับดูแลเชิงนวัตกรรมที่โปร่งใส ทันสมัย และสอดคล้องกับแนวโน้มโลก โดยเฉพาะการจัดทำ บัญชีรายการสารสำคัญและส่วนประกอบของอาหารที่สามารถกล่าวอ้างหน้าที่อื่น (Positive List for Other Function Claims) เพื่อรองรับการพัฒนาอาหารเชิงหน้าที่ (Functional Food) อย่างมีมาตรฐาน และเชื่อถือได้ ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทยที่มีมูลค่าสูงถึง กว่า 258,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า อย. ได้พัฒนากฎระเบียบว่าด้วยการกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหารบนฉลาก ขับเคลื่อนกลไกการประเมิน ตลอดจนบูรณาการร่วมมือกับหลายภาคส่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อพิจารณาสารสำคัญที่สามารถกล่าวอ้างหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ และตอบโจทย์สุขภาพของประชาชน รวมถึงสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการ
ปัจจุบันตลาดอาหารที่มีการกล่าวอ้างคุณสมบัติทางสุขภาพส่งออกและตลาดในประเทศมีมูลค่าประมาณ 258,000 ล้านบาท โดยประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8–10% ต่อปี ซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริบทของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ยังคงเป็นภาระสุขภาพสำคัญของประเทศ
การจัดทำ Positive List จะเป็นกลไกสำคัญในการ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ว่าอาหารที่มีการกล่าวอ้างเชิงหน้าที่นั้นปลอดภัย ได้มาตรฐาน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถใช้วัตถุดิบไทย เช่น สมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน หรือสารสกัดจากธรรมชาติ มาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น สร้างรายได้แก่ชุมชนและภาคการผลิตภายในประเทศ
รองเลขาธิการฯ กล่าวถึงแนวทางการทำงานว่า “เรามุ่งสร้างระบบที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารเชิงสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยไม่ลดมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพ”
อย. ตั้งเป้าดำเนินการจัดทำ Positive List ครอบคลุม อย่างน้อย 150 รายการ ภายในปี 2570 โดยใช้กระบวนการที่เปิดเผย โปร่งใส และมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของระบบกำกับดูแลอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของระบบอาหารไทยในระยะยาว