มิติใหม่ จ.สมุทรสาคร ใช้ ‘บอร์ดเกม’ สะท้อนสถานการณ์ โฟกัส 3 ปัญหาเมืองอุตสาหกรรม

สช. ผนึกภาคีเครือข่าย เปิดเวทีพัฒนานโยบายสาธารณะ จ.สมุทรสาคร ร่วมวางทิศทางการแก้ไขปัญหาสุขภาวะ ใช้ “Policy Board Game” เป็นเครื่องมือสะท้อนภาพปัญหา กำหนดวาระการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ด้าน “ผู้ว่าราชการสมุทรสาคร” ฉายภาพเมืองอุตสาหกรรมกระทบสุขภาพกาย-ใจ โฟกัสปัญหาหลัก “ต่างด้าว-สวล.-สูงวัย” เตรียมเดินหน้าสู่การแสวงหาแนวทาง-สร้างข้อเสนอเชิงนโยบายในเวทีถัดไป

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสมัชชาสุขภาพจังหวัดสมุทรสาคร และบริษัท CROSS’s จัดการประชุมเชิงปฏิบัติกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจังหวัดสมุทรสาคร ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2568 ณ หอประชุมตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาคร โดยมีผู้แทนส่วนราชการท้องถิ่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประสังคม จากพื้นที่ทั้ง 3 อำเภอในจังหวัด ได้แก่ อ.เมืองสมุทรสาคร อ.กระทุ่มแบน และ อ.บ้านแพ้ว รวมกว่า 60 คน เข้าร่วมหารือแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม สนับสนุนการกำหนดวาระสุขภาพเมืองและขับเคลื่อนการทำงานเชิงพื้นที่

สำหรับการจัดประชุมในครั้งที่ 1 นี้ ได้ใช้แนวคิดกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านเครื่องมือสร้างสรรค์ Policy Board Game (Code RED) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำความเข้าใจในบริบทและสภาพปัญหาของพื้นที่ ก่อนที่จะมีการจัดเวทีประชุมในครั้งต่อไปเพื่อร่วมกันตกผลึก หาแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงพัฒนาวาระเมืองสมุทรสาครอย่างสร้างสรรค์ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การรวบรวมและวิเคราะห์ จัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อส่งต่อให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นำไปดำเนินการให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม

นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า เวทีครั้งนี้นับเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ 3 อำเภอของ จ.สมุทรสาคร ได้มาร่วมกันระดมความคิดเห็นและสะท้อนถึงสิ่งที่เป็นปัญหากระทบต่อสุขภาวะของพื้นที่ ซึ่งพบว่ามีประเด็นหลักๆ ได้แก่เรื่องของ แรงงานต่างด้าว ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงโครงสร้างประชากรสังคมสูงวัย ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาทั้งในมิติสุขภาพกาย และสุขภาพใจของประชาชน

นายนริศ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า จ.สมุทรสาคร มีปัญหาเยอะพอสมควรเนื่องจากความเป็นเมืองอุตสาหกรรม ด้วยพื้นที่ทั้งจังหวัดประมาณ 800 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับขนาดของเพียงบางอำเภอ แต่กลับมีคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก โดยมีประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 5.9 แสนคน กับชาวต่างด้าวในระบบอีกประมาณ 3.6 แสน เข้ามาใช้ทรัพยากรอยู่ร่วมกันในพื้นที่ ยังไม่นับรวมกับประชากรแฝงที่คาดว่าอาจมีถึงราว 3 แสนคน รวมเป็นจำนวนคนประมาณ 1.2 ล้าน เข้ามาแออัดอยู่ในพื้นที่เพียงราว 4 แสนไร่นี้

“ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ปัจจัยสี่ทั้งหลายไม่ว่าเสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ กว่าร้อยละ 60 ของประเทศไทยผลิตอยู่ใน จ.สมุทรสาคร เราจึงเป็นเมืองที่มีจีดีพีสูงอันดับ 7 ของประเทศ หรือประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท แต่สิ่งที่แปรผกผันโดยธรรมชาติเวลาเมืองเกิดความเจริญ ก็คือความหนาแน่นของพื้นที่ ซึ่งตามมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะ ฯลฯ อย่างที่เราได้เห็น และเป็นความสำคัญที่จะต้องแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับภาพรวมของประเทศ” ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าว

สำหรับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาสร้างปัญหา แม้จะมีอยู่จริงแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีจำนวนไม่มาก และเมื่อเทียบความสำคัญแล้วเราไม่สามารถขาดแรงงานเหล่านี้ได้ จึงต้องมุ่งการแก้ไขให้ถูกจุด ส่วนปัญหาเรื่องขยะ น้ำเสีย หรือมลพิษจากอุตสาหกรรม ถือเป็นภูเขาน้ำแข็ง เพราะโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่มีเกือบ 6,000 แห่ง ไม่รวมสถานประกอบการอื่นที่มีอีกหลักหมื่น แต่จำนวนเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแล กลับมีเพียง 8 คนเท่านั้น

นายนริศ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการทำงานโดยบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยาก จึงมองว่าควรจะต้องเพิ่มอำนาจหน้าที่ หรือบทบาทให้กลไกอื่นๆ ในท้องถิ่นสามารถเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาในเรื่องเหล่านี้ได้มากขึ้น โดยต้องขอบคุณ สช. ในการเข้ามาใช้พื้นที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อหยิบยกปัญหาไปสู่การขับเคลื่อนกระบวนการดูแลสุขภาวะของประชาชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งตนพร้อมที่จะเป็นแกนกลางประสานภาคส่วนต่างๆ ได้เข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ต่อไป

นพ.ประกิจ สาระเทพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร (สสจ.สมุทรสาคร) กล่าวว่า จากการรับฟังประเด็นปัญหาที่ถูกสะท้อนออกมา สามารถสรุปได้ใน 3 ส่วน ส่วนแรกคือประเด็นปัญหาในสภาพบริบทของทางจังหวัดอุตสาหกรรม ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพของโรงงาน รวมถึงแรงงาน ส่วนถัดมาคือผลกระทบที่มีความเฉพาะไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น อ.เมือง ชูปัญหาเรื่องของฝุ่นละออง พื้นที่สาธารณะ อ.กระทุ่มแบน ชูปัญหาในเรื่องของน้ำเน่าเสีย หรือ อ.บ้านแพ้ว ชูปัญหาในเรื่องของสารเคมีการเกษตร การเข้าถึงบริการสาธารณสุข เป็นต้น

นพ.ประกิจ กล่าวว่า ส่วนสุดท้ายคือผลกระทบที่ไปเกิดขึ้นกับสุขภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อ หรือ โรคไม่ติดต่อ (NCDs) ที่มีมากขึ้น แม้แต่ปัญหาโครงสร้างประชากร สังคมสูงวัย ที่ก็เป็นปัญหาภาพใหญ่ ซึ่งต้องการนโยบายในระดับประเทศมากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ถือเป็นทิศทางที่สามารถนำไปพัฒนาแนวคิดการแก้ไขปัญหาได้ แต่เชื่อว่าในการแก้ปัญหาเรื่องใดนั้น คงมองภาคราชการอย่างเดียวไม่ได้ และเป็นความท้าทายที่จะต้องทำอย่างไรให้ภาคส่วนอื่นๆ ได้เข้ามาบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละมิติ ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุด ซึ่งในฐานะ สสจ. เองก็พร้อมที่จะร่วมรับเป็นประเด็นไปขับเคลื่อนการทำงานต่อไป

ด้าน นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาด้านสุขภาพนั้นสามารถมองได้ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพทางกาย จิตใจ สังคม หรือปัญญา จึงมีความเชื่อมโยงกันในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ดังนั้นในการขับเคลื่อนเดินหน้าจึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วนเข้ามาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้จากภาควิชาการ มุมมองจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรม พลังจากภาคประชาสังคม ไปจนถึงภาครัฐ ฝ่ายการเมือง เพื่อมาร่วมรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

นพ.อภิชาติ กล่าวว่า จากประเด็นที่ทางคณะทำงานสามารถรวบรวมได้ครั้งนี้ จะถูกนำไปวิเคราะห์แล้วคืนข้อมูลกลับมายังพื้นที่ เพื่อดูว่าจะสามารถทำอย่างไรต่อไป เมื่อรู้ว่าอะไรที่เป็นปัญหา แล้วมีแนวทางอะไรที่จะแก้ไข โดยอาจใช้เป็นพื้นที่ Sandbox ในการทำงาน ซึ่งทาง สช. มีความยินดีที่จะสร้างเวทีกลางของการพูดคุยต่อไป รวมถึงสิ่งสำคัญในอนาคตข้างหน้า คือการนำเอากลุ่มเยาวชน เด็กรุ่นใหม่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคต