HACC CMU จับมือ สรพ. จัดประชุมวิชาการ HA Regional Forum Chiang Mai 2025 ขยายผลสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัยแก่บุคลากรสุขภาพในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
ศูนย์ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (HACC:CMU) ร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. จัดการประชุมวิชาการ HA Regional Forum Chiang Mai 2025 ในหัวข้อ BUILDING QUALITY & SAFETY CULTURE FOR THE FUTURE SUSTAINABILITY ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2568 โดยมีบุคลากรสาธารณสุขจาก จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แม่ฮ่องสอน ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง และตัวแทนจาก HACC ในภูมิภาคอื่นๆ เข้าร่วมประชุมมากกว่า 800 คน
ทั้งนี้ เวทีประชุมวิชาการดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากงาน HA National Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อขยายองค์ความรู้ไปยังส่วนภูมิภาค ให้บุคลากรในพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นวัตกรรม และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพโรงพยาบาลและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากร และประชาชน ให้ก้าวไปอีกขั้น
ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ในสังคมยุคที่มีความซับซ้อนนั้น การเรียนรู้ ต่อยอด และความร่วมมือจากหลากหลายสาขา จะเป็นคำตอบในการแก้ปัญหาความซับซ้อนของสังคมยุคต่อไป และการประชุมครั้งนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้บุคลากรที่ทำงานด้านสุขภาพได้ร่วมกันเรียนรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดมากขึ้น
ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ กล่าวอีกว่า หัวข้อการประชุมในปีนี้เป็นเรื่องสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อความยั่งยืนในอนาคต จึงขอยกตัวอย่างการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งในฐานะองค์กรที่ส่งมอบบริการด้านสุขภาพและการศึกษา ต้องคิด beyond กว่าภารกิจปกติ กล่าวคือต้องส่งมอบ value ที่มีคุณค่าให้กับผู้รับบริการ แต่สิ่งที่จะส่งมอบไปนั้นหนีไม่พ้นสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น คือการส่งมอบคุณภาพและการทำให้ผู้รับบริการเกิดความปลอดภัยด้วย
ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ กล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ใช้สัญลักษณ์ผีเสื้อในการสื่อความหมายที่จะกระจายเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัยให้กับทุกพื้นที่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของผีเสื้อนั้นมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ผีเสื้อเป็นตัวอย่างหนึ่งของการ transformation ในทุกช่วง จากตัวหนอนที่บินไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างจนสามารถบินได้ เป็นการสะท้อนว่าองค์กรที่ส่งมอบในเรื่องการดูแลรักษา ต้อง transform ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การทำให้องค์กรมีคุณภาพและปลอดภัย ต้องทำให้องค์กรมีวัฒนธรรมของการคำนึงถึงการสร้างคุณภาพและคำนึงถึงความปลอดภัย ซึ่งองค์กรลักษณะนี้จะมีคาแรคเตอร์คือการทำโดยไม่มีใครบอก เหนือกว่านั้นคือทำโดยไม่รู้ตัวว่าทำ แต่ทุกอย่างที่ทำนั้นบ่งบอกถึงคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งผู้รับบริการโดยไม่รู้ตัว แปลว่าเราเคยชินกับวัฒนธรรม และเหนือกว่านั้นถ้าใครไม่ปฏิบัติก็จะถูกมองว่าแปลก แปลว่าองค์กรนี้มีเรื่องของวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัยฝังอยู่อย่างลึกซึ้ง
ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ กล่าวต่อไปว่า การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัยนั้น หนีไม่พ้น 4-5 ข้อคือ 1.ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ อยากให้องค์กรเป็นอย่างไรก็ทำสิ่งนั้น รวมทั้งสื่อสารให้คนเข้าใจร่วมกัน 2.เปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นแนวทางการพัฒนา ซึ่งสิ่งนี้ก็คือเปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวออกมาจาก save zone แต่ก็ต้องพร้อมยอมรับความเสี่ยงที่จะล้มเหลว 3. ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวต้องนำบทเรียนมาเรียนรู้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเกิดเป็นวงจร PDCA 4.มีการติดตาม ประเมิน ตรวจสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และ 5.คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
“หากสามารถส่งมอบเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัยได้จะทำให้เกิดความยั่งยืน เพราะ 2 เรื่องนี้จะเป็นตัว protect องค์กร และเมื่อการส่งมอบคุณค่าที่ดีที่สุดแก่ผู้รับบริการ เขาก็จะเห็นความสำคัญของเรา เห็นคุณค่าขององค์กร และที่ดีกว่านั้นคือกระบวนการสร้างคุณภาพและความปลอดภัยนั้น จะต้องสะท้อนกลับให้การทำงานมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่น้อยลง เพราะในทางเศรษฐศาสตร์ไม่เคยมีทรัพยากรพอสำหรับทุกคน ใครจะใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล คือสิ่งที่ท้าทายพวกเราในฐานะคนทำงานด้านคุณภาพ”ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ กล่าว
ประเด็นสุดท้ายที่ ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ กล่าวถึงคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเสกได้ภายใน 1 วัน เพราะวัฒนธรรมคือความเชื่อของคนในองค์กร คือการทำงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้องใช้เวลา บางเรื่องอาจทำเรื่อง 1 ปี บางเรื่อง 5 ปี และบางเรื่อง 10 ปี ไม่มีใครบอกได้ว่านานเท่าไหร่ แต่บอกได้ว่าต้องใช้เวลา เหมือนผีเสื้อที่อยู่ ๆจะบินเลยไม่ได้ ต้องใช้เวลาในการ transform
ด้าน พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า การประชุมปีนี้ในหัวข้อ Building Quality & Safety Culture for The Future Sustainability เป็นการกำหนดธีมที่ต่อเนื่องจากงาน HA National Forum ปีก่อนๆ เริ่มจากช่วงที่ก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2565 เป็นปีแห่งการอยู่รอดซึ่ง สรพ. อยากให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้า จึงพูดเรื่อง Resilience and Change เพื่อชวนให้ล้มแล้วรุกไปข้างหน้า จากนั้นปี 2566 หลังจากที่อยู่รอดแล้วก็เป็นปีแห่งการอยู่ร่วม จึงพูดเรื่อง Scaling Up and Collaboration
อย่างไรก็ดี หลังจากพูดว่าทุกคนมาช่วยกัน แต่เมื่อมารวมกันเฉยๆไม่รู้จะทำอะไร ในปี 2567 จึงเป็นการอยู่อย่างมีความหมาย เห็นความหมายของคน ความหมายของงาน มี Growth Mindset และกล้าที่จะก้าวเดิน และเมื่อแต่ละคนมี Growth Mindset ในตัวบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ถ้าอยากให้มีความยั่งยืน การทำเพียงคนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ สิ่งที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้ จึงเป็นการบ่มเพาะสร้างวัฒนธรรม นำ Growth Mindset ที่เติบโตในหัวใจทุกคนมาบ่มเพาะให้ขยายผลในทุกพื้นที่ เพื่อสร้างพฤติกรรมให้เป็นวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัยเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน จึงเป็นที่มาของธีม Building Quality & Safety Culture for The Future Sustainability ในปีนี้
พญ.ปิยวรรณ กล่าวต่อไปว่า อีกเหตุผลที่กำหนดธีมในหัวข้อนี้เนื่องจากระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก มีความซับซ้อนมากขึ้น มีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือความคาดหวังของประชาชนและ stakeholder มีสูงเกินความคาดหมาย ทั้งหมดนี้องค์กรอนามัยโลกมองว่าระบบบริการสุขภาพในอนาคตต้องสามารถปรับตัวและทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงระบบบริการที่มีคุณภาพโดยปราศจากเงื่อนไขข้อจำกัด และระบบมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการจะไปถึงจุดนี้ได้ การทำตามมาตรฐานอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องเกิดความเข้มแข็งในการสร้างวัฒนธรรม ให้บุคลากรสามารถทำได้ตามมาตรฐานอย่างต่อเนื่องเป็นอัตโนมัติ เพื่อให้ระบบบริการสุขภาพสามารถส่งมอบคุณภาพและความปลอดภัยแก่ทุกคน