สธ. – คลัง จับมือบูรณาการข้อมูล เดินหน้านโยบายสาธารณะ “เศรษฐกิจสุขภาพ” บนฐานข้อมูลที่แม่นยำปลอดภัย

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ปลัดกระทรวงการคลัง ลงนาม MOU ความร่วมมือบูรณาการข้อมูลระหว่าง 2 กระทรวง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายมาตรการการเงิน การคลัง และเศรษฐกิจสุขภาพ พร้อมนำมาวิเคราะห์ติดตามประเมินสภาวะเศรษฐกิจและสุขภาพ รวมถึงความมั่นคงทางการคลังของรัฐ ด้วยฐานข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ มีความปลอดภัย

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลังกับกระทรวงสาธารณสุข ในการบูรณาการข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย การเงิน การคลัง และเศรษฐกิจสุขภาพ รวมถึงการวิเคราะห์ติดตามประเมินสภาวะเศรษฐกิจและสุขภาพและความมั่นคงทางการคลังของรัฐ โดยมีผู้บริหารจากทั้งสองกระทรวงเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

นพ.โอภาส กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือภายใต้ขอบเขตการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการบูรณาการข้อมูลร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการจัดการข้อมูล การสำรองข้อมูล ความปลอดภัยในการให้เชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายมาตรการการเงิน การคลัง และเศรษฐกิจสุขภาพ นำไปสู่การยกระดับบริการสุขภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน โดยกระทรวงสาธารณสุข จะจัดทำฐานข้อมูลด้านการเงินการคลังสาธารณสุขให้มีความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ติดตาม ประเมินสภาวะเศรษฐกิจและสุขภาพ ขณะที่กระทรวงการคลัง จะบูรณาการข้อมูลสุขภาพ ตลอดจนจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการบริหารจัดการข้อมูล การสำรองข้อมูล และการให้บริการที่เหมาะสม ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขและการคลังของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างยั่งยืน

ด้านนายลวรณ กล่าวว่า ความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนโยบายครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับองค์กรไปสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนการทำงานโดยอาศัยข้อมูล (Data-Driven Organization) ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงการคลังมีการพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ที่ครอบคลุมมิติที่กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายได้เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่มคนและพื้นที่มากขึ้น (Tailor-made Policy) ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้เกิดการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และคุ้มค่า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างทั่วถึง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้ง เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลังในระยะยาวอีกด้วย