สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 14 ส.ค. 68 เวลา 7.00 น.

1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.ลำปาง (97 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย (49 มม.) ภาคกลาง : จ.สุพรรณบุรี (9 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (89 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (34 มม.) ภาคใต้ : จ.ระนอง (72 มม.)

สภาพอากาศวันนี้ : ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย

คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 15 – 19 ส.ค. 68 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุม ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 65% ของความจุเก็บกัก (52,275 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 49% (28,155 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที

3. ประกาศสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศฉบับที่ 16/2568 เรื่องเฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง และระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงวันที่ 15 – 17 ส.ค. 68 ดังนี้
1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง ดังนี้
1.1 ภาคเหนือ บริเวณ จ.เชียงราย (อ.เมืองเชียงราย พาน แม่ฟ้าหลวง แม่ลาว แม่สรวย และเวียงป่าเป้า) จ.แม่ฮ่องสอน (อ.ปาย และสบเมย) จ.เชียงใหม่ (อ.ดอยสะเก็ด แม่แตง เวียงแหง และอมก๋อย) จ.ลำพูน (อ.เมืองลำพูน แม่ทา และบ้านธิ) จ.ลำปาง (อ.เมืองลำปาง แม่ทะ ห้างฉัตร และเมืองปาน) จ.พะเยา (อ.เมืองพะเยา ปง และเชียงคำ) จ.น่าน (อ.เชียงกลาง ท่าวังผา นาน้อย บ่อเกลือ และปัว) จ.ตาก (อ.ท่าสองยาง แม่ระมาด แม่สอด และอุ้มผาง) จ.พิษณุโลก (อ.เมืองพิษณุโลก ชาติตระการ นครไทย บางระกำ และวังทอง) จ.เพชรบูรณ์ (อ.หล่มเก่า)
1.2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณ จ.เลย (อ.เมืองเลย เชียงคาน ด่านซ้าย และปากชม) จ.หนองคาย (อ.เมืองหนองคาย ท่าบ่อ และสระใคร) จ.บึงกาฬ (อ.โซ่พิสัย) จ.อุดรธานี (อ.เมืองอุดรธานี กุดจับ น้ำโสม บ้านผือ และเพ็ญ) จ.สกลนคร (อ.วานรนิวาส) จ.อุบลราชธานี (อ.โขงเจียม เดชอุดม ตระการพืชผล ตาลสุม นาจะหลวย น้ำยืน บุณฑริก พิบูลมังสาหาร ศรีเมืองใหม่ และสิรินธร)
1.3 ภาคตะวันออก บริเวณ จ.ชลบุรี (อ.บางละมุง และศรีราชา) จ.ระยอง (อ.เมืองระยอง บ้านค่าย ปลวกแดง และนิคมพัฒนา) จ.จันทบุรี (อ.เมืองจันทบุรี และขลุง) จ.ตราด (อ.เมืองตราด เขาสมิง คลองใหญ่ บ่อไร่ และแหลมงอบ)
1.4 ภาคใต้ บริเวณ จ.ชุมพร (อ.เมืองชุมพร พะโต๊ะ และหลังสวน) จ.ระนอง (อ.เมืองระนอง สุขสำราญ กะเปอร์ ละอุ่น และกระบุรี) จ.พังงา (อ.เมืองพังงา คุระบุรี ตะกั่วป่า กะปง และท้ายเหมือง) จ.ภูเก็ต (อ.เมืองภูเก็ต กะทู้ และถลาง)

2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ ของความจุเก็บกักบริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ ตาก บึงกาฬ สกลนคร อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี ตราด สุราษฎร์ธานี และกระบี่ และขอให้พิจารณาบริหารจัดการน้ำเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนนเรศวร จ.พิษณุโลก ให้สอดคล้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุด

3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำอิง บริเวณ อ.เชียงคำ เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล และเชียงของ จ.เชียงราย และแม่น้ำยม บริเวณอ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

4. เฝ้าระวังกิจกรรมการใช้น้ำและการสัญจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณ จ.อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากการปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา