สทนช. ผนึก กฟผ. ชป. ร่วมวางแผนพร่องระบายน้ำเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่าน เพิ่มพื้นที่รับน้ำฝนช่วงถัดไป และเน้นย้ำต้องไม่กระทบประชาชนตามข้อสั่งการรองนายกฯ ประเสริฐ

วันที่ 11 สิงหาคม 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนสิริกิติ์ โดยมี นายพชรเสฏฐ์  บุญศิริสาริศา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ให้การต้อนรับ ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน นางวันเพ็ญ  แก้วแกมทอง หัวหน้ากองจัดการทรัพยากรน้ำ นายประสิทธิ์  อุปชิตร ผู้อำนวยการเขื่อนสิริกิติ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายชวลิต สุราราช ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 3 กรมชลประทาน (ชป.) พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. กฟผ. และ ชป. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้สืบเนื่องจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝนตกหนักที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน จึงได้สั่งการ สทนช.จัดประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ครั้งที่ 2/2568 ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน เมื่อวานนี้ (10 สิงหาคม 2568) โดยที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ ในช่วงเกิดสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากผลกระทบของพายุโซนร้อน “วิภา” และส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัดในลุ่มน้ำยม-น่าน โดยที่การบริหารจัดการน้ำในขณะนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์กัน จึงให้เขื่อนสิริกิติ์ปรับลดอัตราการระบายน้ำลงเพื่อช่วยหน่วงน้ำในลุ่มน้ำน่านไม่ให้เพิ่มระดับขึ้น และเร่งการระบายน้ำในลุ่มน้ำยมออกสู่แม่น้ำน่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำด้วย ส่งผลให้ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงก่อนเกิดสถานการณ์พายุโซนร้อน “วิภา” เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำที่ 62% ของความจุเก็บกัก แต่ในปัจจุบันมีปริมาณน้ำสูงถึง 84% ของความจุเก็บกัก มีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียง 1,500 ล้าน ลบ.ม.

“การประชุมในวันนี้ สทนช. จึงได้หารือร่วมกับ กฟผ. และ ชป. ในการปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝนที่จะตกเพิ่มในช่วงถัดไป โดยอัตราการระบายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนด้วย ซึ่งปัจจุบัน (11 สิงหาคม 2568) เขื่อนสิริกิติ์ มีอัตราการระบายอยู่ที่ 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ จะต้องบริหารจัดการน้ำในเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่านในภาพรวม ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนผาจุก และเขื่อนนเรศวร ให้มีความสมดุลสอดรับกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำตลอดแนวแม่น้ำน่าน โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับเพิ่มการระบายของเขื่อนนเรศวรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดระดับน้ำที่เอ่อล้นตลิ่งเข้าพื้นที่การเกษตรบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนในจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยส่งน้ำส่วนเกินเข้าสู่พื้นที่ชลประทานด้วย ดังนั้น การระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ ที่อัตรา 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในช่วงนี้ จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน อย่างไรก็ตาม ทุกหน่วยงานจะต้องติดตามสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด หากเกิดฝนตกหนักบริเวณท้ายเขื่อนเพิ่มมากขึ้น เขื่อนสิริกิติ์จะต้องพิจารณาปรับลดการระบายลงอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย