กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าพัฒนาระบบยาอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านยา ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาจำเป็น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ โดยเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญของระบบยาประเทศไทย เพิ่มยาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ควบคู่กับการกำหนดราคากลางยา ช่วยรัฐประหยัดงบประมาณได้กว่า 1,600 ล้านบาทต่อปี พร้อมส่งเสริมการผลิตยาในประเทศ เพิ่มความมั่นคงทางยา ลดการพึ่งพาการนำเข้า และยกระดับคุณภาพระบบสุขภาพไทยให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการฯ มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาของประเทศไทย (พ.ศ. 2566–2570) โดยมีผลงานเด่นเพิ่มรายการยาจำเป็นเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติกว่า 20 รายการ อาทิ ยาพาลิเพอริโดน (Paliperidone) สำหรับผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มเสี่ยงสูง และยาอิมิซิซูแมบ (Emicizumab) สำหรับผู้ป่วยฮีโมฟีเลียเอในเด็กและวัยรุ่น ควบคู่กับการกำหนดราคากลางยาร่วม 100 รายการ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังผลักดันให้ไทยสามารถผลิตยารักษามะเร็งได้ภายในประเทศ เช่น ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) สำหรับมะเร็งเต้านม และยาอิมาทินิบ (Imatinib) สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาว นับเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้า และเสริมความมั่นคงทางยาให้กับประเทศ พร้อมทั้งขับเคลื่อนนโยบายการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU Country) เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้ยา และได้รับผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมประสานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาระบบยาของประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง รวมทั้งสนับสนุนการผลิตยาในประเทศให้เกิดความมั่นคงในระบบสุขภาพ และสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพอย่างมั่นคงและยั่งยืน