รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ระดมสมองสร้างแนวปฏิบัติดูแล “พระสงฆ์อาพาธ” จัดระบบบริการทางการแพทย์ที่เอื้อต่อพระธรรมวินัย มีช่องทางด่วนให้เข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสม ลดเวลารอคอย สอดคล้องพระวินัยและไม่อาบัติ เผยมีโรงพยาบาลผ่านประเมินการจัดบริการแล้ว 53 แห่ง เดินหน้าขยายให้ครอบคลุมโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ด้าน “สมเด็จพุฒาจารย์” ชี้เป็นกุศลเจตนา อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาและเป็นการบำเพ็ญอภัยทาน ที่มอบความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพแก่พระสงฆ์
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานฝ่ายฆราวาส เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการจัดระบบบริการทางการแพทย์ที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยในสถานบริการสาธารณสุข โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรจากสำนักงานเขตสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการพระสงฆ์ เข้าร่วมกว่า 600 คน
นายสมศักดิ์กล่าวว่า พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน มีพระภิกษุสงฆ์เป็นศูนย์รวมจิตใจและจรรโลงสังคมให้สงบร่มเย็น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์แบบองค์รวมมาโดยตลอด ทั้งการรักษาโรค การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยเฉพาะเมื่อยามที่พระภิกษุสงฆ์อาพาธ การดูแลรักษาต้องมีความละเอียดอ่อนและสอดคล้องกับหลักพระธรรมวินัย จึงมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของพระภิกษุสงฆ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐมีระบบบริการสำหรับพระสงฆ์อย่างชัดเจน เช่น มีตึกสงฆ์อาพาธที่สามารถดูแลรักษาพยาบาลที่เอื้อต่อพระธรรมวินัย มีระบบการจัดการรักษาพยาบาลและส่งต่อที่ครอบคลุม สามารถให้บริการพยาบาลที่แยกระหว่างพระสงฆ์กับฆราวาสได้อย่างชัดเจน โดยโรงพยาบาลสงฆ์ได้ตรวจประเมินและรับรองโรงพยาบาลที่มีการจัดบริการสุขภาพพระสงฆ์อาพาธที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยแล้ว 53 แห่ง โดยตั้งเป้าหมายให้มีการตรวจประเมินครบ 100 % ในปี 2569 จำนวน 125 ครอบคุลม โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ เพื่อเป็นการรับรองมาตรฐานให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ส่งผลให้พระภิกษุสงฆ์-สามเณรสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกใจ ไม่เกิดความกังวล หรือต้องอาบัติทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ พร้อมจัดทำโครงการขับเคลื่อนการจัดระบบบริการทางการแพทย์ที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ สามารถอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยได้
นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งเป็นกำลังหลักในการดูแลพระภิกษุสงฆ์อาพาธ ซึ่งไม่ได้มุ่งหวังเพียงการสร้างช่องทางด่วน (Fast Track) เท่านั้น แต่ต้องการสร้าง “ระบบบริการที่เอื้อต่อพระธรรมวินัย” อย่างแท้จริง การระดมสมองแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และปัญหาอุปสรรคจากพื้นที่จริงในวันนี้ จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในบริบทของแต่ละโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งการอุปัฏฐากดูแลพระภิกษุสงฆ์อาพาธให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่บุคลากรสาธารณสุขจะได้ร่วมกันดำเนินการ เพื่อให้พระสงฆ์มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง สามารถปฏิบัติศาสนกิจและดำรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพุทธศาสนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน
สมเด็จพระพุฒาจารย์ กล่าวว่า กายสังขารของมนุษย์มีความไม่เที่ยง มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา พระภิกษุสงฆ์ก็มิอาจหลีกพ้นจากกฎธรรมชาตินี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงให้ความสำคัญกับการดูแลภิกษุไข้เป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพุทธดำรัสว่า “โย ภิกฺขเว มํ อุปฏฺฐเหยฺย โส คิลานํ อุปฏฺฐเหยฺย” แปลความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด” พุทธพจน์นี้ได้เชิดชูให้เห็นว่า การดูแลเยียวยาพระภิกษุผู้เจ็บป่วยนั้น มีอานิสงส์สูงส่งเทียบเท่ากับการได้อุปัฏฐากองค์พระศาสดาด้วยตนเอง ทั้งนี้ พระธรรมวินัยเป็นเครื่องร้อยรัดให้หมู่สงฆ์มีความงดงาม เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของสาธุชน การที่พระภิกษุอาพาธต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลทั่วไป บางครั้งอาจเกิดความไม่สะดวกหรือสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยได้โดยสมบูรณ์ การประชุมในวันนี้จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจและวางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญโดยตรง สามารถจัดบริการที่เกื้อกูลต่อสมณเพศได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และขอชื่นชมโรงพยาบาลสงฆ์ที่เป็นต้นแบบในการดูแลพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามหลักพระธรรมวินัยมาอย่างยาวนาน การที่กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายผลองค์ความรู้และประสบการณ์จากโรงพยาบาลสงฆ์ไปสู่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ ถือเป็นกุศลเจตนาอันประเสริฐยิ่งและเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสถาพรสืบไป ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ผู้เปรียบเสมือนผู้สืบสานพุทธปณิธานในการดูแลภิกษุไข้ ท่านทั้งหลายกำลังบำเพ็ญ “อภัยทาน” ซึ่งเป็นทานอันสูงสุด ด้วยการมอบความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพให้แก่เพื่อนมนุษย์และพระภิกษุสงฆ์
ด้าน นพ.โอภาสกล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติปี 2568 ประเทศไทยมีพระสงฆ์ สามเณร 272,919 รูป และวัด 44,224 แห่ง จังหวัดที่มีพระสงฆ์และสามเณรมากที่สุด ได้แก่ กทม. 15,552 รูป นครราชสีมา 10,847 รูป และอุบลราชธานี 8,326 รูป ระดับเขตสุขภาพ พบว่า เขตสุขภาพที่ 9 มีพระสงฆ์มากถึง 33,826 รูป เขตสุขภาพที่ 10 มีพระสงฆ์ 24,942 รูป ประกอบกับข้อจำกัดทางพระธรรมวินัย ทำให้พระภิกษุสงฆ์ประสบปัญหาการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลพระสงฆ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดกรอบการดำเนินงาน Service Plan การดูแลสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และสามเณรไว้ 8 ด้าน ซึ่งกรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลสงฆ์ได้รับมอบหมายให้จัดระบบการรักษาพระภิกษุสงฆ์ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและช่องทางเฉพาะ (Fast Track) เพื่อให้พระภิกษุและสามเณรทั่วประเทศสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง เหมาะสม ลดระยะเวลารอคอย ซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างวันที่ 7-8 สิงหาคม 2568 ครั้งนี้ จะมีการระดมความคิดเห็นและสร้างแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับบุคลากรสาธารณสุข สร้างเครือข่ายในการอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมในการรับการตรวจประเมินสถานบริการสาธารณสุขตามมาตรฐานอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธที่เอื้อต่อพระธรรมวินัย และจัดทำชุดข้อมูลการจัดบริการทางการแพทย์ที่เอื้อต่อพระธรรมวินัยถวายรายงานแด่มหาเถรสมาคม และกระทรวงสาธารณสุข