จากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สู่การปฏิบัติจริงของ “รมว.ทส. เฉลิมชัย” กับภารกิจดับไฟป่า PM2.5 ภาคเหนือ บทพิสูจน์วิสัยทัศน์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ให้ 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี หลังพบค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานต่อเนื่อง สะท้อนถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ แต่ทว่าในเบื้องหลังความท้าทาย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้แสดงความมุ่งมั่นและดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศมาโดยตลอด

ดร.เฉลิมชัย ได้ขับเคลื่อนนโยบายที่เน้นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาเสริมการทำงานอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ จำนวนจุด Hotspot ในปีงบประมาณ 2568 (1 ต.ค. 67 – 19 มิ.ย. 68) ลดลงถึงร้อยละ 40.66 เหลือ 29,026 จุด จาก 48,918 จุด ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ด้วยความสำเร็จดังกล่าว มาจากหลายมาตรการสำคัญ อาทิ

• การใช้เทคโนโลยีอากาศยาน โดยศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน สป.ทส. ได้นำเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ และอากาศยานปีกตรึง 1 ลำ ปฏิบัติภารกิจบินลาดตระเวน ดับไฟป่า และส่งกำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง รวม 46,855 ชั่วโมงบิน โดยมีการบินทิ้งน้ำดับไฟป่าจำนวน 502 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำ 521,000 ลิตร

• การจัดทำแนวกันไฟ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้จัดทำแนวกันไฟรวมระยะทางกว่า 3,200 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟป่า

• พัฒนาศักยภาพจิตอาสา ด้วยการจัดให้มีโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า

• ลงพื้นที่และประชุมติดตามสถานการณ์ โดย ดร.เฉลิมชัย และผู้บริหารระดับสูงของ ทส. ได้ลงพื้นที่และประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าและ PM2.5 อย่างใกล้ชิดในหลายจังหวัด อาทิ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เพื่อสั่งการและระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างทันท่วงที

• การสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่ามูลค่าเกือบ 15 ล้านบาท จาก ปตท.สผ. เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่

นอกจากการปฏิบัติการเชิงรุกแล้ว ดร.เฉลิมชัย ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับนโยบายและมาตรการด้านกฎหมาย
– บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด สั่งการให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนเผาป่าอย่างจริงจัง และประสานผู้ว่าราชการจังหวัดในการประกาศเขตห้ามเผา
– ยกระดับมาตรฐานควันดำ ผลักดันให้ยกระดับมาตรฐานควันดำจากรถยนต์ดีเซลจากเดิมไม่เกินร้อยละ 30 เป็นไม่เกินร้อยละ 20
– ยกระดับการสื่อสารและแจ้งเตือนสถานการณ์ล่วงหน้าผ่านระบบ Air4Thai และศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) รวมถึง Line Alert และการประสานงานกับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
– บูรณาการความร่วมมือข้ามพรมแดน กับ สปป.ลาว และเมียนมา เปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (พ.ศ. 2567 – 2573) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือ
– แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ ดร.เฉลิมชัย ได้มองเห็นถึงความท้าทายเชิงกฎหมายที่ซับซ้อน เช่น ปัญหาการนิยาม “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ที่ยังไม่มีความชัดเจนและขัดแย้งกับหลักการ “การใช้อย่างชาญฉลาด” ของอนุสัญญาแรมซาร์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมิติที่กระทรวงฯ กำลังผลักดันการแก้ไข เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากรูปธรรมการทำงานที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความสำคัญและดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและ PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นประเด็นสำคัญ การทำงานที่ครอบคลุมและรอบด้านนี้ คือบทพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างแท้จริง