“รมช.มหาดไทย” ร่วมประชุมศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ รับฟังรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่และการเตรียมความพร้อมตามมาตรการรับมือฤดูฝน เผยข้อสั่งการสำคัญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ย้ำทุกหน่วยต้องบูรณาการเข้มแข็งเตรียมรับมือฝนในช่วงต่อจากนี้
วันที่ 2 สิงหาคม 2568 นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 3/2568 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดหนองคาย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยนางสาวธีรรัตน์ เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการบริหารจัดการน้ำจากทุกภาคส่วน รวมถึงการเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบด้าน ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และประชุมศูนย์ส่วนหน้าฯ เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบในพื้นที่การเกษตรบางแห่งบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำโขง ในจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ และนครพนม ซึ่งทุกหน่วยงานได้มีการเตรียมความพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ รวมถึงดำเนินการตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) อย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคมนี้ ปริมาณฝนในหลายพื้นที่อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ย ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือมีความเสี่ยงต่อน้ำท่วม น้ำหลาก และดินโคลนถล่ม จึงเน้นย้ำให้ดำเนินมาตรการเชิงรุกและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยทุกหน่วยงานต้องบูรณาการการทำงานกันอย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการในประเด็นสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเตรียมพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ 1) ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการข้อมูลผ่านศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ เฝ้าระวังและเผยแพร่สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลในการประสานงานร่วมกับ สปป.ลาว 2) ให้จังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังแนวกั้นน้ำชั่วคราวให้มีความมั่นคงเพื่อป้องกันพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากร เช่น เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ และชุดปฐมพยาบาล เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที รวมถึงต้องเตรียมความพร้อมศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อบริการได้ทันที กรณีต้องมีการอพยพประชาชน 3) ให้จังหวัดบูรณาการกับหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิต่าง ๆ จัดชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ตามแผนเผชิญเหตุ ด้านการช่วยเหลือ การพยาบาลและการบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน 4) ให้จังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมประชาสัมพันธ์ ใช้ระบบแจ้งเตือนภัย เช่น ระบบ Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 5) ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เช่น ปรับปรุงระบบระบายน้ำของชุมชนเดิม สร้างแนวคันป้องกันน้ำท่วมแบบถาวร ก่อสร้างประตูระบายน้ำตามลำน้ำสาขา เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ด้าน เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์ในจังหวัดหนองคายและบึงกาฬ ระดับน้ำทยอยลดลงแล้ว ในขณะที่ระดับน้ำในจังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหารอยู่ในช่วงเพิ่มสูงขึ้นก่อนจะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ซึ่งทุกหน่วยงานได้ดำเนินการเชิงป้องกันตามข้อสั่งการที่ได้รับ ซึ่งสามารถช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจได้ รวมทั้งขณะนี้ได้เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำริมโขงที่ได้รับผลกระทบให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ ในส่วนของการคาดการณ์สภาพอากาศในระยะนี้ พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา หนองคาย บึงกาฬ รวมถึงพื้นที่ตอนบนของสปป.ลาว จะยังคงมีฝนตกลงมาเติมปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงได้อย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะยังไม่มีฝนตกหนักเหมือนช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ฝนตกจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม รวมถึงต้องติดตามประเมินความเสี่ยงที่จะมีพายุจรพัดผ่านเข้ามาในประเทศไทยด้วย โดยศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือจะปฏิบัติงานอย่างเต็มขีดความสามารถจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์และข่าวสารผ่านช่องทาง ได้แก่ Application และ Website “Nation Thai Water” LINE “ไทยคู่ฟ้า” และช่องทางแชท Facebook ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ซึ่งเปิดให้สอบถามและติดตามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน “ปภ.เตือนภัย” โทร. 1748