นายโอภาส ถาวร รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะลงพื้นที่ใน ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำด้านอุปโภค บริโภค และการเกษตร โดยมี นายอนันต์ โพธิ์พันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 7 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ พร้อมรายงานความคืบหน้า
พื้นที่ตำบลธรรมเสนประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร โดยปกติชาวบ้าน มีการทำนาปีละครั้ง ต้องรอน้ำในช่วงฤดูฝน และเป็นพื้นที่แล้งในลักษณะที่มีแหล่งน้ำต้นทุนแต่ไม่มีระบบส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรเพราะว่าระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าพื้นที่การเกษตร จึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรม กรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 7 จึงได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบเพื่อจัดสรรน้ำในพื้นที่หมู่ที่ 3, 4, 7 และ 11 ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาจังหวัดราชบุรี ในประเด็นที่ 5 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีของ สทนช. การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ชาติด้านที่ 5 การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในประเด็นการพัฒนาความมั่นคงของน้ำพลังงาน และเกษตร ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินการปรับปรุงสถานีสูบน้ำไฟฟ้า (ชป.เดิม) จำนวน 1 แห่ง ก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำ ด้วยท่อเหล็กตะเข็บเกลียว และท่อ HDPE จำนวน 1 ระบบ ความยาวรวมประมาณ 15,500 ม. ไปยังสระเก็บน้ำและลำห้วยธรรมชาติ ภายใน ต.ธรรมเสน จำนวน 5 แห่ง ปัจจุบันการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ทำให้ประชาชนมีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค จำนวน 1,250 ครัวเรือน เพิ่มน้ำต้นทุนสำหรับการเกษตร จำนวน 2,500 ไร่ เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และสามารถต่อยอดระบบกระจายน้ำขนาดเล็กในอนาคตได้อีกด้วย
นายโอภาสกล่าวว่า “ในพื้นที่ ต.ธรรมเสน มีแหล่งน้ำชลประทานอยู่แล้ว แต่ขาดระบบกระจายน้ำสู่ชุมชน ทำให้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำ จากสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 7 จึงเป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ตรงจุด และเมื่อมีโครงการที่ดีแล้ว ก็ขอฝากให้ประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันบำรุงรักษา และพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืน การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีความเห็นว่า การกักเก็บน้ำที่เป็นระบบเปิดนั้นยังไม่สมบูรณ์พอ เพราะมีอัตราการระเหยที่มากถึงประมาณ 3 เมตร กรมทรัพยากรน้ำเห็นว่า ถ้าหากต่อยอดด้วยการมีที่กักเก็บน้ำระบบปิด ก็จะสามารถกักเก็บน้ำในฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้ง โดยเฉพาะน้ำในระบบการผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน พร้อมกันนี้ก็จะพิจารณสนับสนุนการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์เพื่อลดต้นทุนในการปั๊มน้ำลง”
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ได้เปลี่ยนการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรจากทำข้าวรายปี มีรายได้ต่อครัวเรือนปีละครั้ง หลังจากมีน้ำทางการเกษตร น้ำอุปโภค -บริโภค เปลี่ยนรายได้จากรายปีเป็นรายเดือน เฉลี่ยเดือนละประมาณ 45,000-50,000 บาท ถือเป็นการปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป