วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนลงพื้นที่จังหวัดน่านในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพื่อส่งมอบถุงยังชีพและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยจากพายุ “วิภา” และได้ร่วมกันบรรจุถุงยังชีพจำนวน 600 ชุด ณ บริเวณโถงชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน ก่อนส่งขึ้นรถบรรทุกเพื่อกระจายให้ถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดน่านที่ได้รับผลกระทบ
กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการความช่วยเหลือจากกระทรวงแรงงาน เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นจากพายุ “วิภา” ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนใน 11 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย นครพนม ตาก เลย เชียงใหม่ สุโขทัย และหนองคาย รวม 73 อำเภอ 341 ตำบล 1,696 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 100,000 คน ขณะเดียวกันสถานประกอบการได้รับผลกระทบ 75 แห่ง ลูกจ้าง 1,249 คน และบุคลากรในสังกัดกระทรวงแรงงานอีก 141 คน
นายพงศ์กวิน เปิดเผยว่า “ในวันนี้เราร่วมแรงร่วมใจจัดเตรียมถุงยังชีพเพื่อส่งถึงมือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนในจังหวัดน่าน โดยในวันที่ 31 ก.ค.68 กระทรวงแรงงานจะลงพื้นที่ด้วยความห่วงใยพี่น้องประชาชน พร้อมมอบถุงยังชีพ เยี่ยมให้กำลังใจ และนำบริการจากหน่วยงานในสังกัดไปอำนวยความสะดวกในพื้นที่ เช่น ตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ รับลงทะเบียนซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือเกษตร ให้คำปรึกษาแรงงาน และบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น”
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานผู้ประสบภัยหลายด้าน อาทิ การขอความร่วมมือให้นายจ้างยืดหยุ่นเรื่องการลางาน การสนับสนุนสวัสดิการในสถานประกอบการ โครงการเงินกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติ วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท การลดและขยายเวลาส่งเงินสมทบประกันสังคม ตลอดจนการให้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ซึ่งสามารถยื่นได้ทางระบบออนไลน์ของกรมการจัดหางาน
ด้านนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “กระทรวงแรงงานขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงาน รวมถึงเอกชนที่ร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ โดยสามารถส่งผ่านกระทรวงแรงงานได้ และหากพี่น้องในพื้นที่ที่ประสบภัยต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งผ่านอาสาสมัครแรงงาน บัณฑิตแรงงาน หรือสายด่วน 1506 กระทรวงแรงงานจะเร่งประสานเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการทันที”
กระทรวงแรงงานยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับแผนการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อให้ประชาชนกลับมาดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยเร็วที่สุด