เลขาธิการ สปส. ยืนยันเสถียรภาพกองทุนประกันสังคมมีความมั่นคง พร้อมสร้างหลักประกันสังคมที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนทุกช่วงวัย

นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ตามที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยได้ประเมินเอาไว้ในกรณีที่ปล่อยกองทุนประกันสังคมไว้โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็อาจจะทำให้เงินหมดลงได้ภายใน 27 ปีข้างหน้า การคิดคำนวณล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกองทุนประกันสังคมในอนาคตจึงไม่ใช้การรอให้ถึงวันนั้นแต่เป็นการคิดคำนวณเพื่อให้เกิดการวางแผนว่าควรจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้เพื่อยืดอายุกองทุนประกันสังคมให้ยาวนานออกไป พร้อมกับการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับผู้ประกันตนมากขึ้น

กองทุนประกันสังคมกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร โดยประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยจะมีคนวัยเกษียณมากกว่าวัยทำงานเมื่อจำนวนแรงงานถดถอย คนเข้าระบบประกันสังคมน้อยแต่เงินกองทุนไหลออกมากจากการดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะเงินบำเหน็จและบำนาญชราภาพ จึงมีโอกาสที่เงินกองทุนอาจจะหมดลงได้กลายเป็นความท้าทายให้สำนักงานประกันสังคมเร่งสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการกองทุนให้มีความยั่งยืนในระยะยาว สำนักงานประกันสังคมจึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ เสนอแนะแนวทางการปฏิรูประบบบำนาญอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนประกันสังคม รวมทั้งร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดนโยบายสร้างความยั่งยืนให้กองทุนและวางแผนบริหารการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นางมารศรี เลขาธิการ สปส. กล่าวแสดงความมั่นใจว่า กองทุนประกันสังคมยังมีเสถียรภาพที่มั่นคงถึงแม้ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ แต่กองทุนประกันสังคม ยังเป็นกองทุนที่มีเสถียรภาพด้วย 3 เหตุผล คือ 1. มีเงินสำรอง ณ ปัจจุบันอยู่ 2.76 ล้านล้านบาท 2. เป็นกองทุนที่มีรายรับมากกว่ารายจ่าย ใน 1 ปี มีการเก็บเงินสมทบจาก 3 ฝ่าย ประมาณ 235,059 ล้านบาท จ่ายสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ประมาณ 141,588 ล้านบาท คิดเป็น 60.2% 3.วินัยทางการเงิน กรอบที่สำนักงานประกันสังคม สามารถใช้บริหารได้ตามกฎหมายคือ 10% แต่ใช้เพียง 2.3 % หรือประมาณ 5,288 ล้านบาท โดย 3,419 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของพนักงานประกันสังคมประมาณ 4,699 คน รวมถึงค่าใช้สอยของสำนักงาน มีประมาณ 1,869 ล้านบาท ที่ใช้เป็นงบในยุทธศาสตร์ ส่วนที่คาดการว่าสถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้นในอีก 10 ปี คือ ในปี 2579 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มีผู้สูงวัยที่ไม่อยู่ในวัยทำงานคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากร เงินสมทบที่จัดเก็บได้จะเท่ากับรายจ่าย แต่ขณะนั้นกองทุนประกันสังคมจะมีเงินสำรองอยู่ประมาณ 5.512 ล้านล้านบาทจะสามารถยืดอายุกองทุนและสามารถดูแลสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนต่อไปได้ไม่น้อยกว่า 30 ปี ถึงแม้ว่าการจ่ายสิทธิประโยชน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง แต่สถานะกองทุนในปัจจุบันยังคงมีเสถียรภาพ โดยตลอดระยะเวลา 34 ปี ที่ได้ก่อตั้งกองทุนประกันสังคมได้มีการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่องกว่า 97 ครั้ง โดยไม่เพิ่มอัตราเงินสมทบหรือปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างให้เป็นภาระกับนายจ้างผู้ประกันตน มีการพัฒนาช่องทางการให้บริการทำให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ใน 1 ปี ถ้าเอาข้อมูลมาวิเคราะห์จะพบว่าผู้ประกันตนมีการเบิกสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ถึง 46.92 ล้านครั้ง

นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า เมื่อวิเคราะห์ความท้าทายของกองทุนประกันสังคมมีอะไรบ้าง 1. กองทุนประกันสังคมเงินอาจหมดเร็วกว่า 30 ปี หากเกิดเหตุการณ์แบบ Covid อีก เพราะใน 2 ปี ได้ลดเงินสมทบลงเป็นมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท จ่ายค่าว่างงาน 75,000 ล้านบาท และจ่ายค่าดูแลรักษาผู้ประกันตนที่เป็น Covid เกือบ 4 ล้านคน เป็นเงิน 12,000 ล้านบาท รวมเงินที่จ่ายไปเกือบ 300,000 ล้านบาท 2. การเข้าสู่สังคมสูงวัย ค่าเฉลี่ยอายุของคนไทยคือ 79 ปี ดังนั้นต้องจ่ายเงินบำนาญชราภาพ 25 ปี ถ้าผู้ประกันตนส่งเงินสมทบมา 5% ระยะเวลา 25 ปี เท่ากันแต่ต้องจ่ายบำนาญ 35% ลองคิดดูว่ากองทุนประกันสังคมจะอยู่ได้อย่างไร 3.ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกับกองทุนหลักด้านสุขภาพของประเทศไทย ต้องเน้นการป้องกัน การรักษาสุขภาพของคนไทยมากกว่าการจ่ายเพียงอย่างเดียว

ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม ได้ดำเนินการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น 2 ครั้ง ในปี 2567 ได้แนวทางที่สามารถทำได้ในการปฏิบัติและแนวทางที่ยอมรับได้ในไตรภาคี หลังการประชุมได้ตั้งหมุดหมายไว้ 3 ข้อ
1. มีสิทธิประโยชน์ที่คลอบคลุมหรือยังเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
2. จะพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้เหมาะสม เพียงพอต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
– การปรับเพดานค่าจ้าง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ เช่น กรณีว่างงาน
– การปรับสูตรบำนาญ เดิมใช้สูตร 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งไม่สะท้อนเงินสมทบตลอดการทำงานของผู้ประกันตน จึงเป็นที่มาของการปรับสูตรบำนาญ และเป็นแก่นที่ผู้ประกันตนยังไม่ได้รับทราบจริงๆ คือการ revalue ที่จะแสดงให้เห็นว่าเงินวันนี้กับเงินเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีมูลค่าไม่เท่ากัน จำเป็นต้อง revalue มูลค่าเงิน เป็นแก่นที่จะทำให้สิทธิประโยชน์เพียงพอต่อสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ทำอย่างไรให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืนในระยะยาว
– ปรับตัวเองโดยการตั้งเป้าเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุน
– ศึกษาเรื่องการขยายอายุบำนาญออกไป จากข้อมูลกลุ่มแรงงานที่มี high skill ส่วนใหญ่
จะเกษียณอายุการทำงานในช่วงอายุใกล้ 60 ปี ต่างกับกลุ่มที่เน้นใช้แรงงานเป็นหลักที่เกษียณตอนอายุ 55 ปี จึงนำข้อมูลมาศึกษาต่อไปว่าจะขยายอายุเกษียณอย่างไร
– ขยายกลุ่มความคุ้มครองเพื่อเพิ่มรายรับใน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเพาะปลูก กลุ่มทำงานที่บ้าน และหาบเร่แผงลอย เมื่อมองข้อมูลเชิงลึก แรงงานส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ อาจจะมีรายรับจากแรงงานต่างชาติตรงนี้ประมาณ 2 ล้านคน
– ความยุติธรรมของเงินสมทบทั้ง 3 ฝ่าย ที่จะต้องสมทบเท่ากันที่ฝ่ายละ 5%

นางมารศรี เลขาธิการ สปส. กล่าวในตอนท้ายว่า จากนโยบายดังกล่าวทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถยืดอายุจาก 30 ปีที่กล่าวในตอนต้น เป็น 55 ปี อย่างไรก็ดี สำนักงานประกันสังคมพร้อมมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคงให้แก่แรงงานไทยในทุกช่วงวัย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่ากองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่มีเสถียรภาพ สามารถดูแลการจ่ายสิทธิประโยชน์ในระยะยาวให้กับผู้ประกันตนทุกกรณี เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงตลอดไป

…………………………………………………………….
“ประกันสังคม คุ้มครองทุกวัย ใส่ใจทุกคน”
ศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน