สธ. ร่วมมือเครือข่าย จัดประชุมสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ นำเสนอวิทยาการใหม่ด้านการรักษาและควบคุมโรคธาลัสซีเมีย

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับเครือข่ายด้านโรคธาลัสซีเมีย จัดการประชุมสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ ครั้งที่ 26 ประจำปี 2568 เปิดพื้นที่นำเสนอวิทยาการใหม่ ๆ ด้านการรักษาพยาบาลและควบคุมโรคธาลัสซีเมียให้ได้ผล รวมถึงเผยแพร่แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับใช้ในการดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมียอย่างมีคุณภาพ

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ ครั้งที่ 26 ประจำปี 2568 โดยมี นพ.ศักดา อัลภาชน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ร่วมงาน

นายวิชัย กล่าวว่า โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม จิตใจ ของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นอย่างมาก โดยแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 12,000 คน และมีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลาง ที่จำเป็นต้องรับเลือดและยาขับเหล็กเป็นประจำทุกเดือน ประมาณ 6 แสนคน ทำให้ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี การจัดสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติจึงเป็นโอกาสดีที่หน่วยงานต่างๆ จะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหา เชื่อมโยงระบบบริการของประเทศ ทั้งด้านการป้องกันและควบคุมโรค การคัดกรองและวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ และการรักษาโรคธาลัสซีเมีย ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามแนวคิด “ลดความเหลื่อมล้ำ เสริมการเข้าถึง นวัตกรรมการรักษาธาลัสซีเมีย : Bridging the Gap for Equal Opportunity of Thalassemia Innovation Treatment”

ด้าน นพ.ศักดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมในปีนี้ กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นเจ้าภาพ โดยได้รับความร่วมมือจาก กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 ประกอบด้วย การบรรยาย อภิปรายปัญหา และนำเสนอผลงานทางวิชาการ มีแพทย์ พยาบาล นักวิชาการ นักเทคนิคการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่ห้องชันสูตร จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทบวงมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชน เข้าร่วมประชุมรวมทั้งสิ้น 550 คน