ลบล้างภาพจำด้วยข้อเท็จจริง ‘อีสาน’ ไม่ได้จนที่สุดในประเทศ พบครัวเรือนยากจนอยู่ที่ ‘ภาคใต้’ มากสุด

สช. ร่วมกับ The Active จัดเวทีนโยบายสาธารณะ Policy Dialogue มาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง พบ 10 ปีที่ผ่านมา พบคนจนเมืองลดน้อยลงกว่าคนจนชนบท “ภาคใต้” มีครัวเรือนยากจนกระจุกตัวมากที่สุด ไม่ใช่ภาคอีสานอย่างที่เคยเข้าใจ หมอดูแลคนไร้บ้านระบุ เมืองยิ่งเจริญยิ่งมีคนไร้บ้านมาก ชี้ระบบสุขภาพไม่ได้ออกแบบรองรับมาเพื่อทุกคน คนไร้บ้านมักไม่มีบัตรประชาชน จึงทำให้ไม่สามารถเข้าสู่การรักษาได้ ด้าน สช. เดินหน้าสร้างพื้นที่กลางพูดคุยแก้ไขปัญหา ขับเคลื่อนตามกรอบธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จัดเวทีเสวนาสาธารณะ Policy Dialogue “มาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง” ภายใต้งาน เท่าหรือเทียม: เส้นทางความเหลื่อมล้ำคนจนเมือง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-27 กรกฎาคม 2568 เพื่อรับฟังความเห็นจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและเป็นพื้นที่กลางให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์ปัญหา และร่วมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาคนจนเมือง

น.ส.มนต์ทิพย์ สัมพันธวงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแก้ปัญหาคนจนเมืองตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าคนจนที่อยู่นอกเขตเทศบาลหรือชนบทมีจำนวนลดลงมากกว่าคนจนเมือง โดยปัจจุบันพบว่า กว่า 2 ใน 5 ของคนจนเมืองไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ขณะที่คนจนชนบทอยู่ที่ไม่ถึง 1 ใน 5 ซึ่งการที่จำนวนคนจนเมืองลดลงได้น้อย อาจกำลังสะท้อนความซับซ้อนของปัญหาที่แก้ไขได้อย่างยากลำบาก

ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ซึ่งกำหนดหมุดหมายเอาไว้ทั้งสิ้น 13 หมุดหมาย โดยหมุดหมายที่ 7 – 9 เป็นหมวดหมู่ของการสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค ซึ่งระยะเวลาเพียง 1 ปี หลังจากมีการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาฯ พบว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายมีแนวโน้มลดลง และครัวเรือนที่ถูกคัดกรองว่ามีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นลดลง

“อย่างไรก็ดี ยังพบข้อมูลตัวเลขที่บ่งชี้สถานการณ์ไว้อย่างน่าสนใจว่า ข้อมูลครัวเรือนที่ยากจนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ภาคใต้มากที่สุด รวมไปถึงความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้ ภาคใต้ก็ครองแชมป์เช่นกัน ดังนั้น ภาพความเข้าใจที่ว่าภาคอีสานคือภาคที่ยากจนที่สุด ตอนนี้จึงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว” น.ส.มนต์ทิพย์ กล่าว

นพ.อานนท์ กุลธรรมานุสรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอาสาทางการเเพทย์สุขภาวะข้างถนน กล่าวว่า กลุ่มอาสาทางการแพทย์ฯ เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ขับเคลื่อนการดูแลสุขภาวะให้กับคนไร้บ้าน อาทิ การออกหน่วยตรวจสุขภาพพื้นที่เป็นประจำทุกเดือน จัดทำบ้านพักให้ไร้บ้านได้มาฟื้นฟูร่างกาย รวมไปถึงการทำดนตรีบำบัดให้กับคนไร้บ้านที่เป็นโรคจิตเภท ฯลฯ

นพ.อานนท์ ระบุว่า ความไร้บ้านของผู้คนเป็นปรากฏการณ์ที่พบมากในเขตเมือง เมื่อแยกปริมาณของคนไร้บ้านออกมาเป็นรายตำบลและรายเขต จะพบว่าคนไร้บ้านมากถึง 15 พื้นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนอีก 15 พื้นที่อยู่ในอำเภอเมืองของแต่ละจังหวัด และเมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนคนไร้บ้านกับผลิตภัณฑ์ของจังหวัด ก็จะพบว่าจังหวัดใดยิ่งมีรายได้มากก็ยิ่งพบคนไร้บ้านมากขึ้นเช่นกัน

“ในเมืองที่เศรษฐกิจดีได้ทำให้ผู้คนอยากจะมาอยู่ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาต่อสู้กับความปากกัดตีนถีบในเขตเมืองไม่ได้ และหลุดจากระบบเศรษฐกิจหรือหลุดจากความช่วยเหลือต่างๆ จนกลายมาเป็นคนไร้บ้าน ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบบ่อยคือคนไร้บ้านมักไม่มีบัตรประชาชนจนทำให้เข้าไม่ถึงระบบบริการสุขภาพ แม้เวลาโทรไปที่ 1330 สปสช. จะบอกว่าสามารถใช้บริการได้เพราะเป็นคนไทยมีเลข 13 หลัก แต่พอเดินทางไปยังสถานบริการสุขภาพ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุข พบว่าคำแรกที่เจ้าหน้าที่ถามก่อนเลยก็คือบัตรประชาชนอยู่ไหน? ไม่มีบัตรใช้บริการไม่ได้ สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นช่องว่างที่สะท้อนว่าระบบสุขภาพไม่ได้ออกแบบมาสำหรับทุกคน และเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่เข้าใจถึงเงื่อนไข ความเปราะบางของคนไร้บ้าน” นพ.อานนท์ กล่าว

ดร.ณัฐวิคม พันธุวงศ์ภักดี รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SDG Move) กล่าวว่า SDGs หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาระดับโลก ที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามขานรับแนวทางดังกล่าว โดย SDGs มีทั้งสิ้น 17 เป้าหมายหลัก ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม แม้ว่าการแก้ปัญหาความยากจนจะถูกระบุชัดเจนไว้ในเป้าหมายที่ 1 ว่าต้องขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่​​ แต่แท้จริงแล้วการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นครอบคลุมและเชื่อมโยงกันทั้ง 17 เป้า จนไม่อาจแยกขาดจากกันได้

“เวลาผู้คนมองมาที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มักจะมองแบบแยกส่วน เช่น บางคนมองเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม ที่แยกห่างจากกัน แต่การแก้ไขแบบ SDGs เราไม่สามารถมองการแก้ไขปัญหาแบบแยกส่วนจากกันได้” ดร.ณัฐวิคม กล่าว

ดร.ทิพิชา โปษยานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (รองเลขาธิการ คสช.) กล่าวว่า ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 ถือเป็นกรอบและแนวทางในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เกิดเหลื่อมล้ำและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการมีสุขภาวะที่ดีได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งนี้ ภายใต้ธรรมนูญฯ ฉบับที่ 3 ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญของการสร้างระบบสุขภาพเขตเมืองไว้ว่าจะต้องสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมของประชาชนกลุ่มเปราะบาง รวมไปถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความสะอาด ปลอดภัย และเอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาวะของผู้คนที่หลากหลาย ซึ่งการจะผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องเกิดจาก กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบและจัดสรรทรัพยากรให้เกิดความเท่าเทียม

ศ. ดร.นฤมล นิราทร ประธานคณะอนุกรรมการวิชาการสนับสนุนการจัดและขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดการหาบเร่แผงลอยและการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันของกรุงเทพมหานคร ถือเป็นหนึ่งในมติของสมัชชากรุงเทพมหานครครั้งที่ 1 ปี 2563 และจากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) กำลังอยู่ในยุคที่มีการยกเลิกจุดค้าขายหาบเร่แผงลอยเพื่อคืนทางเท้าให้ประชาชน ซึ่งประกาศดำเนินการมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 แต่มาจนถึงขณะนี้ยังไม่อาจทราบได้ว่าจุดผ่อนผันที่จะเปิดให้หาบเร่แผงลอยสามารถกลับมาค้าขายได้เป็นสถานที่ใดบ้าง ส่วนตัวมองว่าจนถึงตอนนี้ กทม. ควรจะต้องมาแจ้งได้แล้วว่าพื้นที่จุดผ่อนผันอยู่ตรงไหน

นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการ คสช. กล่าวว่า สช. จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาคนจนเมือง ด้วยการเปิดพื้นที่กลางของการพูดคุยให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามาหารือร่วมกัน ภาพรวมการเสวนาโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายหน่วยในวันนี้ จึงเป็นการนำเสนอสถานการณ์สภาวะคนจนเมืองของประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครว่าเป็นอย่างไร และมีหนทางใดในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถึงเข้าทรัพยากรต่างๆ

“การเปิดเวทีสาธารณะ Policy Dialogue ในวันนี้ ข้อเสนอสถานการณ์ แนวคิด ที่ได้จากการพูดคุย จะถูกนำไปส่วนหนึ่งของการนำเสนอในนิทรรศการ บริเวณชั้น 3 ในพื้นที่หอศิลป์ กทม. ซึ่งจะนำเสนอไปตลอดทั้งสัปดาห์นี้ บรรยากาศของกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถือเป็นการกระตุกให้สังคมรับทราบร่วมกันว่ายังมีคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกมากมาย และ สช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สร้างสรรค์นโยบายสาธารณะ พร้อมที่จะเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้เข้ามาร่วมกันหาทางออกและพูดคุย ในวาระโอกาสต่อๆ ไป เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วม และไม่หลงลืมใครไว้ข้างหลัง” นพ.อภิชาติ กล่าว