ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.53-32.69 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ (ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ระดับ 2.4% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ออกมาที่ระดับ 2.8% ต่ำกว่าคาดเช่นกัน ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อลงบ้าง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ จากราว 70% เป็น 100% พร้อมมองว่า ในปีหน้าเฟดมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง และมีโอกาสราว 20% ที่จะลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่างปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับ อิหร่านที่กลับมาร้อนแรงขึ้น อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง เนื่องจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว (และรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด) ได้หนุนให้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นกว่า +4.1% เช่นกัน ทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับการซื้อน้ำมันดิบของผู้เล่นในตลาด

อานิสงส์จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด กลับถูกบัดบังด้วยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ในช่วงที่สหรัฐฯ กับอิหร่านกำลังเดินหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์รอบใหม่ ส่งผลให้หุ้นหลายกลุ่มในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ยกเว้นหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Exxon Mobil +2.0% ที่ได้แรงหนุนจากการพุ่งสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.27%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.27% หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อรอจับตารายละเอียดเพิ่มเติมของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาทิ Rheinmetall +2.9% ที่ได้รับอานิสงส์จากความหวังว่า บรรดาประเทศในสหภาพยุโรปอาจเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม

ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.40% โดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาว ก็ถูกจำกัดลงบ้าง หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงจากความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากทั้งความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่แคบลง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.4-99.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง กอปรกับความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของอังกฤษ และดุลการค้าในเดือนเมษายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในตะวันออกกลาง และสงครามรัสเซีย-ยูเครน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างและอาจสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เราคงขอเน้นย้ำว่า ราคาทองคำ คือ ปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาท โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ เช่น โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็อาจพร้อมรอทยอยขายทำกำไรทองคำ กดดันให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงได้ หากไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเรามองว่า สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจเป็นเพียงแค่ “Noise” ในระยะสั้น ที่จะช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน แต่จะไม่สามารถหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ยกเว้นว่า สถานการณ์ความตึงเครียดดังกล่าวทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า ในระหว่างที่สหรัฐฯ กับอิหร่านพยายามเดินหน้าเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์นั้น ทั้งสองฝ่ายก็อาจพยายามไม่ให้สถานการณ์ความตึงเครียดบานปลายมากขึ้นได้

ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจอยู่กับตลาดการเงินในระยะสั้น และอาจหนุนราคาทองคำ รวมถึงเงินบาท แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่ผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันของผู้เล่นในตลาด (จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตของเรา พบว่า ราคาน้ำมันดิบมักจะเคลื่อนไหวสวนทาง กับเงินบาทในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวขึ้นเร็ว แรง ในระยะสั้น)

นอกจากนี้ เราคงมองว่า เงินบาทจะยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอแถวโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ยกเว้นว่า เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ชัดเจน

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์