นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส – วันที่ 12 มิถุนายน 2568 การประชุมใหญ่ประจำปีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สมัยที่ 113 ปิดฉากอย่างเป็นทางการ โดยประเทศไทยในนามกระทรวงแรงงาน นำโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เรือเอกสาโรจน์คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมใหญ่ สะท้อนบทบาทเชิงรุกของไทยในเวทีแรงงานโลก และยืนยันพลังความร่วมมือแบบ “ไตรภาคี” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายแรงงานอย่างยั่งยืน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบแรงงานไทยอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลไทยมุ่งสร้างความเป็นธรรม ความยืดหยุ่น และความยั่งยืน ผ่านแนวคิด ‘งาน สิทธิ และการเติบโต’ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ ILO โดยเฉพาะการส่งเสริมงานที่มีคุณค่าสำหรับแรงงานทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่แรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติ และกลุ่มเปราะบาง”
รัฐมนตรีพิพัฒน์ได้รายงานความก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น การสร้างงานใหม่กว่า 600,000 อัตรา การฝึกอบรมแรงงาน 5 ล้านคน การผลักดันให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมกว่า 1.49 ล้านราย และการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติกว่า 3 ล้านคน โดยเน้นว่า “ประเทศไทยมอง ‘งานที่มีคุณค่า’ ไม่ใช่เพียงเป้าหมายทางสังคม แต่คือกลยุทธ์หลักในการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระยะยาว”
พร้อมกันนี้ ฝ่ายนายจ้าง นางเนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ผู้แทนจากประเทศไทย ได้สะท้อนมุมมองของภาคธุรกิจต่อความท้าทายของเศรษฐกิจโลก โดยเสนอให้รัฐบาลประเทศสมาชิก ILO เดินหน้านโยบาย Reskill–Upskill แรงงานอย่างต่อเนื่อง พัฒนาทักษะรับอนาคต และส่งเสริมการจ้างงานอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานสูงวัย รวมถึงร่วมกันวางแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ด้านฝ่ายลูกจ้าง นายอรุณศักดิ์ มะลิงาม ผู้แทนแรงงานไทย ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สะท้อนถึงความคาดหวังของแรงงานไทยต่อความเป็นธรรมในระบบแรงงาน โดยเน้นสิทธิการรวมตัวและการมีส่วนร่วมในกระบวนการไตรภาคีอย่างเท่าเทียม พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐไทยปรับข้อกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการทำงานของแรงงานทุกกลุ่มในปัจจุบัน โดยเฉพาะกฎกระทรวงการจ่ายค่าล่วงเวลา
การแสดงบทบาทร่วมกันของทั้งสามภาคีไทยบนเวที ILO ในปีนี้ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของกลไกไตรภาคีไทย ซึ่งสามารถประสานความเห็นที่หลากหลายไปสู่ทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างระบบแรงงานที่มีศักดิ์ศรี สิทธิที่มั่นคง และเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืน