“คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ติดตามผลการบริหารจัดการน้ำ บริหารความเสี่ยงช่วงน้ำหลาก มุ่งลดผลกระทบประชาชนตลอดช่วงฤดูฝนนี้

“คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ถกแผนเฝ้าระวังฝนตกเพิ่มขึ้นช่วงสัปดาห์นี้บริเวณภาคตะวันออก ภาคอีสานตอนบนและพื้นที่ชายขอบภาคอีสาน และภาคใต้ฝั่งอันดามัน ด้าน สทนช. เตรียมประชุมร่วมกับ MRCS และ สปป.ลาว รับมือน้ำโขงล้นตลิ่งใน 4 จังหวัดภาคอีสาน ช่วงเดือน ก.ค. นี้

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในระยะนี้จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจจะมีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนได้ โดยมีทิศทางการเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศจีนตอนใต้ บริเวณเกาะไหหลำ คาดว่าจะส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่านประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นจนถึงวันที่ 13 มิถุนายน นี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและบริเวณชายขอบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะมีการติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ในส่วนของสถานการณ์ฝนระยะยาว คาดว่า ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคกลาง รวมถึงจะเป็นช่วงที่มีน้ำหลากลงมาจากพื้นที่ภาคเหนือ และอาจเกิดน้ำทะเลหนุนสูงได้ สทนช. จึงได้ร่วมกับหน่วยงานวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม โดยเน้นการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันในระดับลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 15 แห่ง ที่มีแนวโน้มจะมีปริมาณน้ำเต็มความจุ โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีแนวโน้มฝนตกหนักและน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายเบื้องต้น ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ให้รักษาปริมาณน้ำไว้ที่ประมาณ 80% ของความจุอ่างฯ โดยทยอยระบายน้ำในช่วงเวลานี้ เพื่อสงวนและสำรองพื้นที่รองรับน้ำฝนระลอกใหม่ และลดความเสี่ยงจากน้ำล้นอ่างเก็บน้ำที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนท้ายอ่างได้ รวมถึงป้องกันไม่ให้มีมวลน้ำไปสมทบเพิ่มเติมกับน้ำในลำน้ำต่าง ๆ ในช่วงที่มีฝนตกหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำ อย่างไรก็ตาม การกำหนดปริมาณน้ำที่ 80% ของความจุอ่างฯ เป็นเพียงแผนบริหารความเสี่ยงในช่วง
น้ำหลาก โดยจะมีการทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูฝน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้อ่างเก็บน้ำแต่ละแห่งสามารถกักเก็บน้ำได้เต็มศักยภาพ เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองในการอุปโภคบริโภค การเกษตร
และรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งถัดไป

นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ได้ประเมินสถานการณ์น้ำของแม่น้ำโขงในช่วงเดือนกรกฎาคม พบว่า จะมีปริมาณน้ำมากและอาจเกิดน้ำล้นตลิ่งได้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดบึงกาฬ ซึ่ง สทนช. ได้หารือร่วมกับ MRCS และ สปป.ลาว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจาก สปป.ลาว มีอ่างเก็บน้ำเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวนมากในลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง และเขื่อนไซยะบุรีในลำน้ำโขง เพื่อให้มีแนวทางในการบริหารจัดการน้ำในเชิงลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำร่วมกันกับประเทศไทย เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำในแม่น้ำโขงอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จะมีการประชุมเรื่องการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงร่วมกันในวันที่ 23 มิถุนายน นี้ จากนั้นจะมีการหารือร่วมกันกับ 4 จังหวัดดังกล่าว เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนมาตรการเชิงป้องกันล่วงหน้า อาทิ การสร้างทำนบชั่วคราว โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง พร้อมกันนี้ ได้มีการวางแผนจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ณ จังหวัดหนองคาย เพื่อเสริมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงทั้ง 4 จังหวัด อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์อุทกภัย

“สทนช. ยังมีแผนจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้าฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกเหนือจากศูนย์ส่วนหน้าฯ 2 แห่ง ที่ได้ดำเนินการจัดตั้งไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และลุ่มน้ำบางปะกง ณ จังหวัดระยอง และศูนย์ส่วนหน้าฯ ลุ่มน้ำโขงเหนือ จังหวัดเชียงราย สำหรับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งหลายภาคส่วนมีความเป็นกังวลนั้น ไทยและเมียนมาอยู่ระหว่างการเร่งขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก โดยเมียนมาได้เริ่มดำเนินการขุดลอกแม่น้ำสายตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 40 วัน ขณะที่ไทยได้ขุดลอกแม่น้ำรวกไปได้แล้วประมาณ 40% ของแผน รวมถึงได้สร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวเพื่อป้องกันมวลน้ำและตะกอนทับถมในพื้นที่ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ รวมทั้งเร่งขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันน้ำท่วม
ในอำเภอเมืองเชียงรายเช่นเดียวกัน” ดร.สุรสีห์ กล่าว

เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยังหารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในพื้นที่เสี่ยงสูงซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดเหตุเป็นประจำและมีผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่อ่อนไหว และการแจ้งเตือนภัยประชาชนให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดย สทนช. ได้ร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในการใช้ระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ Cell Broadcast และกรมประชาสัมพันธ์ ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลทรัพยากรน้ำให้เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการผังน้ำเพิ่มเติม จำนวน 3 ผังน้ำ ได้แก่ ผังน้ำลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผังน้ำลุ่มน้ำแม่กลอง และผังน้ำลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยมติที่ประชุมได้ให้ สทนช. ดำเนินการเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อพิจารณาประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป