สทนช. จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และลุ่มน้ำบางปะกง พร้อมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 8 จังหวัดในภาคตะวันออก เพื่อบูรณาการความร่วมมือระดับพื้นที่ในการบริหารจัดการมวลน้ำตลอดช่วงฤดูฝนนี้
นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และประธานคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และลุ่มน้ำบางปะกง เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 1/2568 ร่วมกับผู้แทนจาก 8 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสระแก้ว จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมประชาสัมพันธ์ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด 8 จังหวัด การประปาส่วนภูมิภาค กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมส่งเสริมการเกษตร คณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำบางปะกง กรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในจุดเสี่ยงการเกิดอุทกภัย 5 จุด ได้แก่ 1. สถานีสูบน้ำประตูระบายน้ำทับมา 2. บริเวณพื้นที่ชุมชนสายหนองมะหาด (หลังเซ็นทรัลระยอง) 3. จุดสะพานแตง 4. จุดสะพานหมู่บ้านกรุงไทย และ 5. ถนนทางหลวงหมายเลข 36 บริเวณหน้าบริษัท ไทยวัฒน์วิศวการทาง จำกัด ตามลำดับ
นายไวฑิต เปิดเผยว่า สทนช. ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และลุ่มน้ำบางปะกง ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนนี้ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยจากการติดตามข้อมูลคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. พบว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลให้ภาคตะวันออกมีแนวโน้มที่จะมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ โดยอาจเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากได้ แม้ว่าการคาดการณ์ปริมาณฝนรายเดือนล่วงหน้าของภาคตะวันออกในช่วงเดือนมิถุนายนจะมีฝนตกอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ ปริมาณฝนจะเพิ่มมากขึ้นในเดือนกรกฎาคม และจะกลับมามีฝนอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยช่วงเดือนสิงหาคม จากนั้นจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในเดือนกันยายน – ตุลาคม
“ที่ประชุมได้ร่วมหารือแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ โดยศูนย์ส่วนหน้าฯ จะบูรณาการสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน ในการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาการเกิดอุทกภัยในปี 2568 นี้ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และให้ตรวจสอบ เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ บุคลากร และสถานีโทรมาตร หากชำรุดเสียหาย ให้เร่งซ่อมแซมโดยเร็วเพื่อให้มีความพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ จะต้องพิจารณาบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงดูแลรักษาความมั่นคงของอ่างฯ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นอกจากนี้ ได้มอบหมายกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรธรณี วิเคราะห์ความเสี่ยงการเกิดน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม เพื่อให้คณะทำงานฯ นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหารองรับความเสี่ยงต่อไป พร้อมทั้งให้คณะทำงานฯ จัดลำดับความสำคัญในการวางแผนแก้ไขปัญหาพื้นที่เปราะบางในแต่ละจังหวัด และนำมาจัดทำแผนแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ศูนย์ส่วนหน้าฯ จะบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีความเป็นเอกภาพ เพื่อให้กรมประชาสัมพันธ์นำไปเผยแพร่และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนสามารถเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที” นายไวฑิต กล่าว