1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.พะเยา (116 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.นครพนม (42 มม.) ภาคกลาง : จ.สมุทรสงคราม (47 มม.) ภาคตะวันออก : จ.ตราด (124 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (105 มม.) ภาคใต้ : จ.พังงา (98 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย กับมีร่องมรสุมกำลังอ่อนพาดผ่านประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบน ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 6 – 10 มิ.ย. 68 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมกำลังปานกลางจะเลื่อนลงมาพาดผ่านประเทศไทยตอนบน กับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น
2. คุณภาพน้ำ ณ จุดเฝ้าระวัง แม่น้ำสายหลัก :
น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ใน เกณฑ์มาตรฐาน
น้ำเพื่อการเกษตร แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ใน เกณฑ์มาตรฐาน
3. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 56% ของความจุเก็บกัก (45,178 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 36% (21,060 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
4. ข่าวประชาสัมพันธ์ : สทนช. จับมือ SEI ร่วมลงนาม MOU เสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 68 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (Stockholm Environment Institute – SEI) ณ กรุงสตอกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดน โดยมี ดร.มอนส์ นิลส์สัน ผู้อำนวยการบริหาร SEI ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีระยะเวลา 5 ปี มุ่งเน้นความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และยกระดับแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดการน้ำข้ามพรมแดนอย่างเป็นธรรม การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและลุ่มน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและภัยแล้ง การพัฒนาเครื่องมือช่วยตัดสินใจเชิงนโยบาย และการส่งเสริมบทบาทเยาวชนในประเด็นทรัพยากรน้ำ ภายหลังการลงนาม ทั้งสองหน่วยงานได้หารือร่างแผนปฏิบัติการร่วมระยะ 3 ปี (พ.ศ.2568–2570) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ การวิจัย
เชิงนโยบาย และการเสริมศักยภาพหน่วยงานในระดับพื้นที่ ความร่วมมือกับ SEI เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันบทบาทของไทยในเวทีนานาชาติด้านทรัพยากรน้ำ พร้อมเปิดโอกาสในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายวิจัยชั้นนำระดับโลก ซึ่งจะช่วยระดมทรัพยากร ทั้งงบประมาณและเทคนิค เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม