ชูพลัง ‘ชุมชน’ บทบาทสำคัญ พระ-อสส.-อสม.เป็น ‘Influencer’ ขับเคลื่อน ‘สิทธิการตายดี’

สช. สานพลังภาคีถกเวที Policy Dialogue “พลังชุมชนสู่สิทธิการตายดี” แลกเปลี่ยนบทเรียนการดำเนินงาน-กลไกสนับสนุนการจัดการ เพื่อขับเคลื่อนสิทธิตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ เห็นพ้องบทบาทความสำคัญของชุมชนต่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย – Palliative Care พร้อมหนุนพลังการสื่อสารจากพระ-อสม.-อสส. เป็น Influencer ขยายความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ป่วย-ครอบครัว

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีสนทนานโยบาย (Policy Dialogue) เรื่อง พลังชุมชนสู่สิทธิการตายดี ณ ลานเอนกประสงค์ ชั้น 1 สวนโมกข์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงมุมมองต่อสิทธิการตายดี รวมถึงประสบการณ์การดำเนินงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนสิทธิตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยมีภาคีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) รวมถึงประชาชนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก

พระครูนิติสุตาภร ดร. รองเจ้าคณะอำเภอลาดยาว จ.นครสวรรค์ และเจ้าอาวาสวัดหนองกระดูกเนื้อ กล่าวว่า ทางวัดได้มีการขับเคลื่อนในเรื่องของการตายดีมาตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่การให้ความรู้ญาติโยม ช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้มองเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ พร้อมเป็นส่วนในการร่วมหนุนเสริมการขับเคลื่อนกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ ศูนย์นักบริบาลสร้างสุขชุมชน สถานชีวาภิบาล กุฏิชีวาภิบาล ฯลฯ ที่ให้ความช่วยเหลือดูแลทั้งญาติโยมที่เจ็บป่วย รวมไปถึงพระที่อาพาธ ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โดยมองว่าวัดนั้น ถือเป็นกลไกสำคัญที่สามารถเข้าถึงผู้คนในชุมชนได้มากกว่าหน่วยงานภาครัฐหรือท้องถิ่น

พระครูนิติสุตาภร กล่าวว่า ในสังคมไทยวัดถือเป็นสถานที่สำคัญเกือบทุกกิจกรรม ดังนั้นหากทำให้วัดเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาวะชุมชนได้ ก็จะเป็นแรงหนุนเสริมสำคัญในการช่วยดูแลคนในชุมชนได้ตั้งแต่เกิดดี แก่ดี เจ็บดี และตายดี ซึ่งทางวัดเองก็ได้รับเอาโครงการต่างๆ จากหลากหลายหน่วยงานเข้ามาขับเคลื่อน แต่ก็เข้าใจว่าเมื่อเป็นการขับเคลื่อนโครงการที่ยึดตามหน่วยงานราชการ หากมีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ก็อาจมีความไม่มั่นคง ดังนั้นทางวัดจึงได้ออกแบบทิศทางการทำงานของชุมชนเอง โดยการเขียนเป็นกติกาข้อตกลงผ่าน “ธรรมนูญสร้างสุขชุมชน” และประกาศเป็นนโยบายผ่านสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นร่วมกันทั้งผู้บริหารท้องถิ่น และคนในชุมชน

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อพูดถึงการมีสุขภาวะที่ดีนั้น จำเป็นที่ต้องมองครอบคลุมตั้งแต่การเกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี จนสุดท้ายคือการตายดี ซึ่งแม้ที่ผ่านมาเราจะได้รับการดูแลที่ดี แต่ส่วนสุดท้ายนั้นไม่มีใครรู้ได้แน่นอนว่าจะตายดีหรือไม่ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมและมีแผนรองรับ ซึ่งประชาชนทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย นั่นคือสิทธิที่จะแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพฯ แต่ต้องยอมรับว่าการใช้สิทธินี้เองบางครั้งก็อาจไม่ง่าย เพราะตัวระบบก็อาจยังไม่รองรับเต็มที่-/

“ในช่วงบั้นปลายหลายคนอยากเสียชีวิตตามธรรมชาติ ท่ามกลางญาติพี่น้อง ไม่ใช่ตายอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายระโยงระยาง แต่ถ้าหากเราไม่มีระบบรองรับ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็จะถูกยื้อชีวิตต่อไปเรื่อยๆ แต่วันนี้คือโอกาสสำคัญที่เราจะมาช่วยกันมองถึงประสบการณ์ทำงานต่างๆ จากในพื้นที่ ไม่ว่าจะในแง่ของความเชื่อ ทัศนคติ หรือกลไกสนับสนุน เพราะจุดสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้คือพลังของชุมชน” นพ.สุเทพ กล่าว

นพ.สุเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนที่ผ่านมา สช. ได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Living Will) ทำให้ขณะนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิตามมาตรา 12 ได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถทำที่ไหนเมื่อไรก็ได้ และยังสามารถแก้ไขได้ตลอดเวลา พร้อมมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์ที่มีความมั่นคงปลอดภัย ส่วนการพัฒนาระยะต่อไปในอนาคต ยังจะมีการเชื่อมกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล (HIS) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้บริการสุขภาพสามารถเข้าถึงข้อมูลและทราบเจตนาของผู้ป่วยได้สะดวกมากขึ้น

นายอดิศักดิ์ วรวิชวลิตวัชระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยงู (รพ.สต.ห้วยงู) จ.ชัยนาท กล่าวว่า รพ.สต. ถือเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งมีหัวใจสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน และถือเป็นกลไกแรกที่น่าจะนำสิทธิการตายดีเข้าสู่การรับรู้ของประชาชนได้ ควบคู่กับกลไกต่างๆ ที่ภาครัฐออกแบบไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต สถานชีวาภิบาล ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารในท้องถิ่นหรือท้องที่นั้นจะนำกระบวนการเหล่านี้ไปขับเคลื่อนต่ออย่างไร โดยสิ่งสำคัญคือการใช้ชุมชนเป็นฐาน

นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนพื้นที่ของห้วยงูได้มีการใช้คำว่า “บริษัทสร้างสุข” เป็นกลไกสำคัญในการ รวมกลุ่มภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมกันในการดูแล 5 มิติหลัก คือ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการ โดยประเด็นเรื่องของการตายดีจะไม่ได้รอไปสื่อสารกับคนที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเท่านั้น แต่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สูงวัยตั้งแต่ในระยะติดสังคม ที่ยังสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ในขณะที่บทบาทการดูแลสถานชีวาภิบาล หากดูแลเฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายในตำบลก็มีเพียง 2 คน จึงเพิ่มบริการให้กับกลุ่มอื่นๆ ด้วย ตั้งแต่การฟื้นฟูผู้สูงวัยที่ร่างกายเสื่อมถอย, การดูแลระยะกลาง (IMC), การดูแลระยะยาว (LTC), การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

นพ.เติมชัย เต็มยิ่งยง ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลไม่ใช่แค่ตัวผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทของครอบครัวหรือชุมชนที่จะต้องได้รับการสนับสนุน หรือในส่วนของสถานที่ก็ไม่ได้มีแค่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังมีหน่วยบริการรูปแบบอื่นๆ ซึ่ง สปสช. มีการจัดสรรงบประมาณให้ผ่านค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (LTC) ที่เหมาจ่ายให้จำนวน 10,442 บาทต่อคนต่อปี จากเดิมนั้นให้สำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ทว่าตั้งแต่ปี 2568 นี้ไป ได้มีการผนวกเอาผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือ Palliative Care เข้ามาอยู่ในงบประมาณก้อนนี้ด้วย ที่สามารถจัดสรรให้กับโรงพยาบาล รพ.สต. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ หรือสถานชีวาภิบาลต่างๆ ในพื้นที่ได้

“นอกจากนี้ยังมีงบประมาณส่วนอื่นๆ ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่จัดสรร 45 บาทต่อหัวประชากร ให้ชุมชนสามารถเขียนขอไปดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ หรือกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด ที่สามารถนำไปใช้ในการดูแล ปรับสภาพบ้าน หรือให้อุปกรณ์ที่จำเป็น รวมไปถึงเรื่องของ Caregiver เราก็กำลังจะสนับสนุนให้มีงบประมาณในการจัดจ้างและจัดระบบนักบริบาลที่ทั่วถึงและเป็นธรรม แต่ขอยืนยันว่าพลังที่อยู่ในชุมชนคือส่วนสำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนได้ยั่งยืน ลำพังเฉพาะงบประมาณจาก สปสช. ไม่มีทางที่จะจ่ายชดเชยให้ได้เพียงพอ แต่จะเป็นส่วนที่เข้าไปหนุนเสริมและเติมเต็มให้กับการทำงานที่เกิดขึ้น” นพ.เติมชัย กล่าว

ขณะที่ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เขต 3 กล่าวว่า แน่นอนว่าเกือบทุกคนย่อมปรารถนาที่จะให้บั้นปลายชีวิตของตนเดินหน้าไปสู่การตายดี แต่ความยากที่จะแปลงความต้องการไปสู่การปฏิบัติจริงได้ ไม่ใช่แค่ตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังเป็นความรู้ความเข้าใจของครอบครัวหรือคนรอบตัวด้วย ซึ่งในบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะประเมินได้ว่าจุดไหนคือจุดที่เดินมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว ขณะเดียวกันก็อาจยังมีคนในบางกลุ่มที่เข้าถึงสิทธิการตายดีได้ยาก เช่น กลุ่มเด็ก ที่แม้จะเข้าสู่ระยะประคับประคอง แต่ก็มักถูกต่อสู้เพื่อยื้อชีวิตน้อยๆ เหล่านั้น หรือพระสงฆ์ ที่เชื่อได้ว่าส่วนใหญ่คงอยากกลับไปมรณภาพในวัดของท่าน แต่ระบบบริการก็อาจยังเอื้อไปไม่ถึงจุดนั้น

“การขับเคลื่อนเรื่องนี้จึงต้องการพลังจากทุกภาคส่วน เพราะสุดท้ายแล้วการตายดีไม่ใช่แค่เรื่องของการพัฒนาเพียงแค่หน่วยบริการ หรือรวมศูนย์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่คือมิติของความเข้าใจ การตัดสินใจทางเลือกที่เหมาะสม ความสามารถของครอบครัวหรือสถานที่ว่าพร้อมแค่ไหนที่จะดูแลเราในระยะสุดท้าย และไม่ใช่เรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น เพราะไม่ว่าใครก็ตามวันหนึ่งก็อาจมีสิทธิกลายเป็นเจ้าชายนิทราได้ ดังนั้นหากเราอยากออกแบบเองว่าเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้วอยากจากไปอย่างไร ก็ต้องแสดงเจตนาเอาไว้ให้ชัด ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนอื่นที่เข้ามาตัดสินใจแทนให้ ซึ่งก็อาจไม่ได้เป็นในแบบที่เราอยากให้เป็น” นพ.ธนรักษ์ กล่าว

ด้าน ดร.ประวีณมัย บ่ายคล้อย สื่อมวลชน และพิธีกรรายการข่าว กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจเรื่องนี้จากประสบการณ์ตรงที่สูญเสียบิดาและมารดาไปในช่วง 4 ปีที่แล้ว เริ่มจากบิดาที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งขณะนั้นครอบครัวมีความคิดว่าต้องดูแลให้ดีที่สุด แต่การอยู่โรงพยาบาลนั้นกลับต้องเผชิญค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จนกระทั่งได้ศึกษาถึงทางเลือกของการดูแล Palliative Care กลับมาทำบ้านให้กลายเป็นโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายลดลงแล้ว บิดากลับมีอาการดีขึ้น และคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวก็ดีขึ้น ลดความยากลำบากในการดูแลลงได้

ดร.ประวีณมัย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องนี้ให้ขยายออกไปได้มากขึ้นนั้น หากหวังพึ่งสื่อกระแสหลักอาจมีข้อจำกัด จึงอยากมุ่งเน้นไปถึงการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนในปัจจุบัน รวมถึงความสำคัญของสื่อออฟไลน์ ที่ไม่ว่าพระ อสม. หรือ อสส. ล้วนแล้วแต่เป็น Influencer ในชุมชนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้ป่วยและครอบครัว สามารถมีบทบาทเป็นพลังสำคัญในการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ รวมไปถึงช่องทางตามโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่น่าจะมีการสื่อสารเรื่องนี้มากขึ้น เพราะแม้แต่แผนก Palliative Care ในหลายแห่งก็มีชื่อไม่เหมือนกัน และต้องถามหาจึงได้รู้ว่ามีอยู่