“รองนายกฯ สมศักดิ์” เป็นประธานการประชุม กนช. ครั้งสุดท้ายของปี 2566 ไฟเขียวแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กว่า 57,000 รายการ เมื่อแล้วเสร็จประชาชนได้รับประโยชน์เกือบ 5 ล้านครัวเรือน พร้อมเดินหน้าแผนขับเคลื่อนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง-น้ำท่วม ตามมาตรการรับมืออย่างเคร่งครัด
วันที่ 25 ธันวาคม 2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 3/2566 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การประชุมวันนี้ ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานสำคัญต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาด้านน้ำในระยะยาว ให้สามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี จำนวน 57,393 รายการ จาก 24 หน่วยงาน จาก 8 กระทรวง 76 จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2,102 แห่ง กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่ง สทนช. ในฐานะเลขานุการ กนช. ได้ตรวจสอบกลั่นกรองจากจำนวนแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำฯ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอผ่านระบบ Thai Water Plan โดยเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด จะสามารถเพิ่มความจุในการกักเก็บน้ำได้ 1,352 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) พื้นที่รับประโยชน์ 6.8 ล้านไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 4.9 ล้านครัวเรือน และพื้นที่ได้รับการป้องกัน 5.7 ล้านไร่ พร้อมมอบหมายให้ สทนช. เสนอต่อคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการฯ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนขับเคลื่อนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค (พ.ศ. 2566 – 2580) ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ 13 แผนงาน ดังนี้ กลยุทธ์ที่ 1 บำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบประปา มีเป้าหมายในการบำรุงรักษาระบบประปาทั้งหมด ซ่อมแซมระบบประปาที่ชำรุดให้พร้อมใช้งาน 6,189 แห่ง ลดการสูญเสียน้ำในระบบท่อของการประปานครหลวง (กปน.) 20% และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) 25% กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนา ขยายเขตระบบประปา เพิ่มประสิทธิภาพประปา และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน มีเป้าหมายในการก่อสร้างประปาใหม่หรือทดแทนประปาเดิม 9,825 แห่ง ขยายกำลังผลิตน้ำประปาของ กปภ. และ กปน. รวม 2.5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ขยายเขตประปาได้ 1.6 ล้านครัวเรือน ปรับปรุงประปาให้เป็นประปาน้ำสะอาด 19,106 แห่ง จัดหาแหล่งน้ำต้นทุน 1,728 แห่ง ก่อสร้างระบบประปา ขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่หาน้ำยากและพื้นที่สูง 1,167 โครงการ กลยุทธ์ที่ 3 ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพน้ำอุปโภคบริโภคให้ได้มาตรฐาน โดยกำหนดเป้าหมายที่จะตรวจคุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ 9,000 ตัวอย่างต่อปี ตรวจคุณภาพน้ำประปา 7,773 แห่ง อปท.69,914 แห่ง กปน./กปภ.236 สาขา และกลยุทธ์ที่ 4 การบริหารจัดการ โดยมีเป้าหมายในการอบรมเสริมสร้าง พัฒนาองค์ความรู้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกรรมการบริหารกิจการประปา ปีละ 2,000 คน สร้างการรับรู้ รณรงค์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และประชาสัมพันธ์เรื่องน้ำสะอาดให้ประชาชนทั่วประเทศ ส่งเสริมการประหยัดน้ำทุกภาคส่วน รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลประปาหมู่บ้าน ตลอดจนศึกษา สำรวจ ออกแบบ งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม แหล่งน้ำประปาและระบบประปา
อีกทั้งที่ประชุมยังได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์การผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ เพื่อให้คณะกรรมการลุ่มน้ำนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน ประกอบด้วย 1.การผันน้ำลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีน-เจ้าพระยา 2.การผันน้ำลุ่มน้ำป่าสัก–เจ้าพระยา และ 3.การผันน้ำลุ่มน้ำบางปะกง–ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยกำหนดเงื่อนไขการดำเนินงานไว้ว่า จะต้องมีปริมาณน้ำเพียงพอกับความต้องการใช้น้ำภายในลุ่มน้ำก่อน และปริมาณน้ำที่ผันไปนั้นจะต้องเป็นปริมาณส่วนที่เหลือหรือส่วนเกินความต้องการภายในลุ่มน้ำ ทั้งนี้ ในการผันน้ำ ให้พิจารณาถึงความจำเป็นพื้นฐานในการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และประโยชน์ที่จะพึงเกิดต่อส่วนรวมเป็นลำดับแรก
ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำในหลายภาคของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงฤดูแล้ง โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและดำเนินการตาม 9 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 รวมทั้งปฏิบัติตามแผนจัดสรรน้ำในฤดูแล้งอย่างเคร่งครัด ซึ่งปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่จะเพียงพอกับความต้องการใช้ในทุกภาคส่วนในช่วงฤดูแล้ง และมีสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2567 หากเกิดภาวะฝนมาล่าช้าหรือฝนทิ้งช่วงอย่างแน่นอน ส่วนในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งขณะนี้มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะพื้นที่ตอนล่างและฝั่งตะวันออก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และดำเนินงานตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝน 2566 อย่างเคร่งครัดเช่นกัน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการทั้งหมดให้ สทนช. รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างทันท่วงที และให้คณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด นำมาตรการดังกล่าวไปขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าผลการพิจารณาการจ่ายเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายจากการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาจากกระทรวงการคลัง และนำเสนอ กนช. ในประชุมครั้งต่อไป เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งกำชับให้คณะกรรมการลุ่มน้ำ เร่งจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบูรณาการการบริหารทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนกำหนดแนวทางในการส่งเสริมองค์กรผู้ใช้น้ำ ภาคเอกชน ประชาชน และชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำด้วย